The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"

The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "The way to Art" เส้นทางสู่ศิลปะ โดย นักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความรู้ความสามารถทางการศึกษาหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในระดับศิลปมหาบัณฑิต และในปี 2553 นี้ ภาควิชาได้คัดเลือกนักศึกษา 10 คน ได้แก่ นักรบ กระปุกทอง , รณชัย กิติศักดิ์สิน , เกรียงไกร กุลพันธ์ , สุเมธ พัดเอี่ยม , สุนทรี เฉลียวพงษ์ , พีรนันท์ จันทมาศ , วรรณพล แสนคำ , ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท , พิเชษฐ บุรพธานินทร์และวัลลภัคร แข่งเพ็ญแข อันมีผลงานการสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อตนเองและสภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญญาแห่งการเรียนรู้ และเป็นการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณะชน

THE WAY TO ART

นิทรรศการเส้นทางสู่ศิลปะ The way to art มีกำหนดการแสดงผลงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 4 ห้อง Stodio ในวันพฤหัสที่ 21 เมษายน ถึง วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค

นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค

ภาพอาหารที่ดูเหมือนจริง (Realistic) ของ พีรนันท์ จันทมาศ มีแรงดึงดูดสูงมากในทันที สามารถลวงตาให้เชื่อได้อย่างเสมือนจริง ด้วยการให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่มากกว่าตาเห็น จากเทคโนโลยีของกล้องถ่ายรูปที่บันทึกได้ ก่อนจะถูกแปลผ่านวิจารณญาณทางจิตรกรรมอีกครั้ง เรียกว่าโฟโต้เรียลลิสต์ (Photorealist) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ต้องใช้ความเพียรในการทำงานด้วยสมอง ตา ใจ อย่างประสานสัมพันธ์กันจนเป็นอัตโนมัติ (Automatic) คือเกิดเป็นภาวะสมาธิจากการสะสมประสบการณ์ จากการปฏิบัติและสัมฤทธิ์ผลออกมาเป็นผลงานจิตรกรรมที่เหมือนจริงอย่างตาเห็นและอย่างที่ใจเห็น

ความงามของศิลปะบางอย่าง หมายรวมถึงกระบวนการที่เกิดด้วย (Process Art) คือ “วิธีการที่ดีย่อมนำไปสู่เป้าหมายที่ดี” ซึ่งตรงกับคำกล่าวของโจเซฟ โคซุส (Joseph Kosuth ค.ศ. 1945) ศิลปินคอนเซ็ปชวลลิสท์ (Conceptualist) ได้ประกาศไว้ในปี 1969 ว่า ศิลปะทั้งหมด (หลัง ดูชองป์ Ducump) เป็นคอนเซ็ปชวล เพราะศิลปะเกิดขึ้นได้จากแนวความคิด ระเบียบขั้นตอน กลายเป็นเนื้อหาสาระสำคัญที่สุดแห่งความสัมฤทธิ์ผลของงาน ดังนั้นวิทยานิพนธ์จิตรกรรมของ พีรนันท์ จันทมาศ เรื่อง “นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค” นี้ เป็นการทำงานสร้างสรรค์ด้วยขั้นตอนที่เป็นระเบียบมีประสิทธิภาพมากคือ เริ่มจากการถ่ายภาพและเลือกภาพตามแนวความคิด แล้วกำหนดมาตราส่วนขยายจากภาพถ่ายด้วยความเที่ยงตรงของลักษณะรูปทรง ขนาดสัดส่วน ระยะใกล้ไกล รวมถึงภาวะทางนามธรรมของวัตถุเช่น สีสัน ความแห้ง แข็ง อ่อน นุ่ม เหลว ใส ลักษณะไขมัน ความรู้สึกถึงกลิ่น รส ความร้อน กระทั่งเวลาที่จำเพาะของต้นแบบ ด้วยความเที่ยงตรงแม่นยำของทักษะขั้นสูง เป็นกระบวนการของความเพียรที่ถูกอัดแน่นด้วยความละเอียดอ่อน เพื่อที่จะบอกถึงนัยยะแฝง ภายใต้วัฒนธรรมการบริโภคที่เป็นเรื่องเคยชิน เป็นปกติธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าธรรมดาแต่สำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งโลกก็ให้ความสำคัญกับการกินอาหารในหลากหลายมิติ เช่น กินเพื่อรักษาโรค กินเพื่อกระตุ้นจินตนาการ กระตุ้นอารมณ์ กินเพื่อแยกฐานะชนชั้นทางสังคมด้วยรสนิยม ด้วยราคา ด้วยวัตถุดิบที่เหลือน้อยในโลก ด้วยที่มาที่ไปของวัตถุดิบที่ซับซ้อน

ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม อาหาร ได้ถูกปรุงขึ้นแล้ว ด้วยพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ซึ่งมีนัยยะแฝงเร้น ในทางกลับกันเราก็สามารถเรียนรู้นัยยะแฝงของอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าได้ ด้วยการพิจารณาอย่างพิถีพิถันถึงสถานที่และเวลา ลักษณะทางภูมิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม รูป รส กลิ่น สี อารมณ์อาหารที่นุ่มลิ้น กรอบนอกนุ่มใน ลักษณะเศษ คราบ ร่องรอย เนื้อใน ซาก ขา ตับ เลือด สุก ดิบ หรือคำตอบที่ปรุงแต่งไปถึงการพิจารณาความหยาบ ละเอียด ตื้น ลึกของจิตใจ หรือไปถึงสัญชาตญาณใดของมนุษย์ก็ตาม ย่อมได้รับคำตอบที่แฝงอยู่อย่างชี้นำในงานศิลปะของ พีรนันท์ จันทมาศ เช่นกัน เพราะศิลปะถูกสร้างจากกระบวนการของแนวความคิดที่แยบยลภายใต้ทัศนทางความงามของการคร่าชีวิตที่เป็นเนื้อเดียวกันกับการมีชีวิต

Text : ธณฤษภ์ ทิพย์วารี

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์

วัลลภัคร เป็นศิลปินหญิงชาวอุดรธานี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนที่จะเดินทางเข้ามาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วัลลภัครให้ความสนใจในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรม สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินที่มีต่อสภาพสังคมรอบตัว และการใช้ชีวิตดิ้นรนต่อสู้ ท่ามกลางความบีบคั้นของสังคมปัจจุบัน ในผลงานชุดก่อนๆ ศิลปินใช้รูปลักษณ์ของสุนัขจรจัดที่พบเห็นเร่ร่อนตามซอกมุมของอาคารบ้านเรือนและถนนหนทางทั่วไป แสดงออกด้วยฝีแปรงที่รุนแรงฉับพลัน และโทนสีที่มืดมน แต่ในผลงานชุดล่าสุด ศิลปินปรับเปลี่ยนหัวข้อมานำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกและแนวความคิดที่ชัดเจน ลึกซึ้ง และใกล้ตัวมากขึ้น ภาพของเด็กที่กำลังหลับตา สีหน้านิ่งๆ เฉยเมยแต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าหมอง ผิวหนังขรุขระกระดำกระด่าง ร่างกายแขนขาที่ดูคดงอ พิกลพิการ พื้นหลังและบรรยากาศที่ดูว่างเปล่า มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ ตัวเล็กๆ ข้าวของเครื่องใช้ วางล้มระเนระนาด กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เปรียบเสมือนโลกแห่งความฝันและมุมมองที่บิดเบี้ยว บกพร่อง เป็นสัญลักษณ์แห่งสภาพชีวิตของการถูกทอดทิ้ง ความเหงา เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

“ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์” บอกเล่ามุมมองของศิลปินที่มีต่อปัญหาของสังคมซึ่งส่งผลกระทบต่อเด็ก แต่แทนที่จะหยิบยกเอาประเด็นปัญหาที่มีอยู่เยอะแยะมากมายมาแสดงออก ศิลปินเลือกที่จะใช้ภาษาทางจิตรกรรม เส้น สี พื้นผิว และผืนผ้าใบ “สะท้อน” ความรู้สึกภายในของเด็กออกมา ผลงานของวัลลภัครใช้การสร้างภาพที่ขัดแย้งกับความเคยชินของผู้ดูในการนำเสนอเรื่องราว ภาพของเด็กที่ถูกขยายจนใหญ่โต ร่างกายบางส่วนถูกบีบอัด บิดเบี้ยว ดูไม่สมประกอบ ขับเน้นลักษณะของพื้นหนังที่ขรุขระ กระดำกระด่าง ขัดแย้งกับผิวหนังนุ่มนิ่มของเด็กปกติ ถึงแม้จะหลับตาและกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่ด้วยฝีแปรงประกอบกับโทนสีที่หม่นหมอง แสดงบรรยากาศที่ล่องลอย แต่แฝงไว้ด้วยความเศร้า หดหู่ ศิลปินไม่ได้สร้างสรรค์งานศิลปะอย่างคนภายนอกที่มองเห็นปัญหา แต่เอาตัวเองเข้าไปแทน “ภายใน” จิตใจของผู้ถูกกระทำ คือ เด็กที่ถูกทอดทิ้ง กำพร้า เร่ร่อน ขาดการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัว เหมือนกับว่าตัวศิลปิน เด็กที่ถูกอ้างถึง และผลงานจิตรกรรม หลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน และกำลังกระซิบบอกกับโลกภายนอกถึงสภาพความน่าสงสาร น่าเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เป็นปัญหาสะสมคั่งค้าง เพราะคนทั่วไปเลือกที่จะไม่รับรู้ ไม่เผชิญหน้า ปล่อยปละละเลย

ศิลปินใช้ความว่างเปล่า บรรยากาศที่นิ่งและเงียบในการตั้งคำถามกับสังคม ใช้ความไม่มีอะไรของพื้นที่ว่างในการปลดปล่อยจินตนาการของผู้ดู เรื่องราวและปัญหาทางสังคมถูกเติมเต็มด้วยประสบการณ์และมุมมองอันแตกต่างกันของผู้ดูแต่ละคน พื้นหลังของผลงานมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในผลงานของวัลลภัคร เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอันว่างเปล่า หดหู่ ถูกนำมาวางเรียงราย และดัดแปลงรูปทรงให้ดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เป็นตัวแทนของห้วงความคิดภายใน โลกสมมติ จินตนาการส่วนตัวของเด็กเหล่านี้ ผลงานจิตรกรรมโดยวัลลภัครนำเสนอความงามอันเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของรูปลักษณ์ภายนอก สีสัน รูปทรง และองค์ประกอบ ที่สะท้อนคุณค่าทางความรู้สึก และแนวความคิดที่ลึกซึ้ง สะเทือนอารมณ์

Text : วิชญ มุกดามณี

สัญญะใหม่ของวัตถุกับเวลาที่ถูกรั้ง


สัญญะใหม่ของวัตถุกับเวลาที่ถูกรั้ง


หน้าต่าง โต๊ะ ประตู หิ้งพระ บันได เก้าอี้...ทุกอย่างที่วรรณพลหยิบยกมาใช้สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะมีความหมายกับศิลปินมากกว่าแค่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เป็นมากกว่าเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามบ้านโบราณ เพราะมีคุณค่าลึกซึ้งต่อความทรงจำส่วนตัวของศิลปิน ทุกชิ้นคือเครื่องเรือนเก่าแก่ในบ้านของ อาม่า ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว และบ้านดังกล่าวก็ถูกรื้อถอน ศิลปินเก็บรักษา ของเก่า เหล่านี้ เพื่อสะท้อนความทรงจำ ความประทับใจ ความระลึกถึง ทั้งหมดนำมาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เป็นผลงานศิลปะประเภทสื่อประสม ใช้กระบวนการถอดพิมพ์ ดัดแปลงปรับเปลี่ยนรูปทรง จัดแสดงควบคู่ผสมผสานกันระหว่างพื้นผิวและกายภาพของ รูปจำลอง ที่ทำด้วยวัสดุสังเคราะห์และ รูปต้นฉบับ คือวัสดุดั้งเดิม เพื่อนำเสนอคุณค่าจากอดีตที่ถูกถ่ายถอดมาจนถึงปัจจุบัน

ผลงานศิลปะของวรรณพล แสนคำ มีความก้ำกึ่งระหว่างลักษณะของประติมากรรมและผลงานจัดวาง (Installation) ศิลปินได้รับแรงบันดาลใจจากเทคนิคการหล่อและถอดพิมพ์ของงานประติมากรรม โดยใช้ยางพาราทาเคลือบทับลงไปบนต้นฉบับ ซึ่งตามปกติยางพาราที่แห้งและถูกลอกออกมานั้นจะถูกใช้เป็น แม่พิมพ์ สำหรับการผลิตชิ้นงานต่อไป แต่ในกรณีของวรรณพล ศิลปินกลับเปลี่ยนบริบทจากแม่พิมพ์ยางพาราให้กลายเป็นส่วนประกอบของผลงานศิลปะ ดูคล้ายกับเปลือกที่กำลังถูกลอกออก โดยมีการปรับรูปแบบการจัดวางให้หลากหลายไปตามลักษณะของพื้นที่จัดแสดง ศิลปินนำเสนอรูปลักษณ์ใหม่ของ โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ ฯลฯ ผ่านภาษาและสัญลักษณ์ทางศิลปะ ใช้พื้นผิว สี และรูปทรง ของเปลือกยางพาราแทนรูปลักษณ์ภายนอกของตัววัสดุ เป็นกายภาพที่ไม่จีรังยั่งยืน ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้เหล่านี้ เมื่อผ่านมุมมองการสร้างสรรค์ของศิลปินได้เกิดความหมายใหม่ที่แตกต่างไปจากหน้าที่การใช้งานเดิม ถูกใช้เป็นตัวแทนของวิถีชีวิตประจำวัน แทนเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ศิลปินมีต่อญาติผู้ใหญ่ เป็นสายสัมพันธ์ซึ่งถ่ายทอดระหว่างกันในครอบครัว ร่องรอยของยางพารากับวัตถุต้นฉบับถูกสร้างสรรค์อยู่บนพื้นฐานของความเหมือนจริง ทุกรายละเอียดถูกลอกเลียนและถอดแบบออกมาอย่างครบถ้วน หากศิลปินได้ปรับแต่งและจัดแสดงชิ้นส่วนยางพาราเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ บ้างขาดเปื่อย สีขาวซีด กระดำกระด่าง สะท้อนสภาพของความทรงจำที่ขาดแหว่งไม่ครบถ้วน สอดคล้องกับธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งซึ่งไม่คงทนถาวร มีการเกิดและดับ แม้แต่ความทรงจำของคน ซึ่งครั้งหนึ่งอาจจะรู้สึกว่าประทับตรึงตราหนักแน่นอยู่ในใจ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงและเลือนหายได้เฉกเช่นเดียวกัน

คุณค่าของผลงานศิลปะร่วมสมัยไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสีสันที่สวยงาม ฝีแปรงที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกละเอียดอ่อน หรือองค์ประกอบที่สอดคล้องลงตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีผลงานบางประเภทที่ใช้แนวความคิดอันลึกซึ้งในการสื่อความหมาย ความงามของผลงานในลักษณะนี้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของผู้ดู ผลงานศิลปะของวรรณพลไม่เพียงถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากพื้นฐานของแนวความคิดเพียงอย่างเดียว หากแต่อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ขรึมขลัง แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น ผู้ดูก้าวเข้าไปสัมผัสผลงานที่ถูกจัดวางในพื้นที่จริง ปลดปล่อยจินตนาการ ความรู้สึก ให้ผลงานศิลปะเข้าไปกระตุ้นความทรงจำส่วนตัวของผู้ดูให้ผลิบานขึ้นอีกครั้ง

Text : วิชญ มุกดามณี

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

“เส้นทางสู่ศิลปะ” The way to art

“เส้นทางสู่ศิลปะ” The way to art

(Thesis Exhibition)
...............................................................

สุนทรี เฉลียวพงษ์

...............................................................

นักรบ กระปุกทอง

...............................................................

เกรียงไกร กุลพันธ์


...............................................................

พิเชษฐ บุรพธานินทร์
...............................................................

รณชัย กิติศักดิ์สิน

...............................................................

ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท

...............................................................

พีรนันท์ จันทมาศ

...............................................................

สุเมธ พัดเอี่ยม


...............................................................

วรรณพล แสนคำ

...............................................................

วัลลภัคร แข่งเพ็ญแข



วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

After-effect’s about feeling’s and emotion

After-effect’s about feeling’s and emotion

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์ 1 สีอะครีลิคบนผ้าใบ 150 x 135 เซนติเมตร

“สิ่งปลุกเร้าและปัญหาต่างๆจากสังคมที่ส่งผลมาสู่ครอบครัวรวมถึงปัญหาภายในครอบครัวเอง ล้วนส่งผลกระทบกระเทือนต่อการพัฒนาจิตใจของเด็กจนเกิดเป็นปมปัญหาทางความรู้สึก , สิ่งฝังใจ , ความรู้สึกที่ไม่สามารที่จะเยียวยาได้เพียงลำพังและเป็นสิ่งที่เด็กไม่สามารถบอกอธิบายได้ ซึ่งจุดนี้เองเด็กจึงต้องการคนที่เข้าใจและต้องพึ่งพาอาศัยการดูแลจากผู้ใหญ่ คนใกล้ชิด สำหรับเด็กบางคนการขาดคนเยี่ยวยาจากปัญหาในชีวิตที่เกิดขึ้น ปมทางจิตใจนี้จะกลายเป็นปัญหาหมุนเวียนภายในจิตใจ ภายในชีวิตของเด็กคนนั้นตลอดไป....” วัลลภัคร

ทัศนะ มุมมองบางตอนที่หยิบยกมานี้ เป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ซึ่งมีเรื่องราว เนื้อหาที่สะท้อนสภาวะทางอารมณ์ ความ รู้สึกและความคิดจากผลกระทบของปัญหาสังคมต่างๆ ที่มีจุดเริ่มต้นจากปัญหาภายในครอบครัวอันเป็นสังคมปฐมภูมิหน่วยเล็กๆของ ระบบสังคม เรื่องราว ปัญหาดังกล่าวถูกบอกเล่าผ่านประสบการณ์และการกลั่นกรองจาก วัลลภัคร แข่งเพ็ญแข ศิลปินหญิงอีกหนึ่งคนของนิทรรศการนี้ กับผลงานชุด ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์ After-effect’s about feeling’s and emotion

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์ 2 สีอะครีลิคบนผ้าใบ 160 x 162 เซนติเมตร

ทั้งนี้ จากข้อมูล ข่าวสารทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์และสื่อต่างๆ ทำให้ตัวศิลปินตระหนักว่า “ครอบครัวเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตของคนในสังคม ปัญหาสังคมจำนวนมากมีรากฐานมาจากครอบครัวหรือมีครอบครัวเป็นตัวบ่มเพาะปัญหา แต่ในทางกลับกันน้อยครั้งนักที่จะตระหนักถึงปัญหาสังคมเหล่านี้ว่าเข้ามามี ผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวได้อย่างไรและมาในรูปแบบไหนกัน ปัญหาสังคมในปัจจุบันล้วนทวีความรุนแรงมากกว่าเมื่อก่อนมากและมีแนวโน้มว่า จะทวีความรุนแรงขึ้น ปัญหาสังคมนั้นมีหลายรูปแบบและมีความรุนแรงแตกต่างกัน” ซึ่งเราสามารถ เห็นตัวอย่างมากมายในข่าวหนังสือพิมพ์ที่โดยส่วนใหญ่จะเป็นข่าวอาชญากรรม ปัญหาสิ่งเสพติด ปัญหาการล่วงละเมิดไปจนถึงการก่อการร้ายและ “อะไร คือสาเหตุของปัญหาสังคมเหล่านั้น อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเลือกที่จะทำผิด แล้วทำไมคนจึงกระทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่สนใจคนอื่นรอบข้าง” ประเด็น เหล่านี้คือ คำถามที่ตัวศิลปินต้องการจะสื่อความออกไปสู่สังคมให้คนในสังคมได้หยุดคิดใน ของสงสัยดังกล่าวร่วมกัน ซึ่งศิลปินได้ให้ทัศนะเพิ่มเติมว่า “ก่อนที่เราจะมองปัญหาตรงจุดนั้น (สังคม) เรา ควรลองมองกลับไปที่ปัญหาครอบครัวอันเป็นจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งในการบ่มเพาะ วิกฤตการณ์ทางสังคมอันจะเกิดขึ้นตามมา ปัญหาจากภายในครอบครัวนี้เองส่งผลกระทบโดยตรงทั้งต่อคนในครอบครัว ต่อเด็กแล้วจึงส่งผลสืบเนื่องสู่สังคมโดยรวม ทำให้เกิดเป็นปมปัญหา”

ผลสะท้อนทางความรู้สึกและอารมณ์ 3 สีอะครีลิคบนผ้าใบ 160 x 162 เซนติเมตร

จากประเด็นปัญหาและขอสงสัยดังกล่าว วัลลภัคร จึง ต้องการที่จะถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกที่ตัวเธอเองมีต่อปัญหาเหล่านี้ โดยสื่อสารจากท่วงท่าภาษากายและสะท้อนเรื่องราวที่เป็นปมปัญหาทางจิตใจผ่าน ท่าทางของเด็กที่มีท่าทีที่นิ่งเฉย , ไม่รับรู้อะไร , หน้าตาท่าทางที่หลบซ่อนรวมถึงลักษณะทางกายภาพที่เกิดขึ้นกับรูปร่างของเด็ก ที่บิดเบี้ยว ผิวตามร่างกายที่ขรุขระ หน้าตามีเทปมาปกบิดบางมุมของใบหน้ารวมถึงภาพของเฟอร์นิเจอร์ที่ดูบิดเบี้ยว ไม่ปกติ พื้นหลังที่ดูไม่ค่อยมีอะไร ซึ่งเป็นการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่สะท้อนถึงความไม่สมบูรณ์ทางจิตใจ ความรู้สึกที่เหมือนขาดบางสิ่งไป อันเป็นความรู้สึกของเด็กในมุมที่ต้องการการเยียวยารักษา การดูแลเอาใจใส่ต่อความรู้สึก เอาใจใส่ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านการสร้างสรรค์ผลงาน ในรูปแบบ (expressionism) ภาพผลงานจึงไม่ยึดติดกับรูปทรง รูปร่างที่เหมือนจริง ขนาดและสัดส่วนถูกร่างขึ้นตามความรู้สึกภายในจิตใจของตัวศิลปินเอง