The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"

The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "The way to Art" เส้นทางสู่ศิลปะ โดย นักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความรู้ความสามารถทางการศึกษาหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในระดับศิลปมหาบัณฑิต และในปี 2553 นี้ ภาควิชาได้คัดเลือกนักศึกษา 10 คน ได้แก่ นักรบ กระปุกทอง , รณชัย กิติศักดิ์สิน , เกรียงไกร กุลพันธ์ , สุเมธ พัดเอี่ยม , สุนทรี เฉลียวพงษ์ , พีรนันท์ จันทมาศ , วรรณพล แสนคำ , ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท , พิเชษฐ บุรพธานินทร์และวัลลภัคร แข่งเพ็ญแข อันมีผลงานการสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อตนเองและสภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญญาแห่งการเรียนรู้ และเป็นการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณะชน

THE WAY TO ART

นิทรรศการเส้นทางสู่ศิลปะ The way to art มีกำหนดการแสดงผลงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 4 ห้อง Stodio ในวันพฤหัสที่ 21 เมษายน ถึง วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อะไร-ยังไง-ทำไม?กับคำถามที่เราต้องการคำตอบ

24 hrs art criticism

by

vaczeen
อะไร-ยังไง-ทำไม?กับคำถามที่เราต้องการคำตอบ


บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าตั้งคำถามกันตนเองว่า “ สิ่งที่เราเห็นหรือสิ่งที่รู้ ไม่ว่าจากประสบการณ์ก็ดีหรือจากรับมาของข้อมูลความรู้ต่างๆก็ดี ทุกสิ่งนั้นมีความจริงแท้เพียงใดอะไรหรือสิ่งใดเป็นสิ่งตัดสิน ” คำพูดที่ผู้เขียนยกขึ้นมานี้เป็นเพียงคำถามหรือข้อสงสัยโง่ๆที่ผู้เขียนได้คิดกับตนเองภายในเท่านั้น การหาคำตอบนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกแห่งผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ หรือบรรดาปราชญ์ต่างๆนั้นเองแต่ผู้เขียนเองก็มิได้มีความรอบรู้มากมายเพียงพอเพี่อที่จะหาคำตอบจากคำถามนั้นอย่างถ่องแท้ ทำได้แต่เพียงตั้งคำถามและ “สงสัย” กับบรรดาความรู้หรือวาทกรรมต่างๆที่เรายืดถือว่ามันจริงและถูกต้อง

การ“สงสัย”ดังกล่าวนี้นำพาไปสู่ดินแดนใหม่แห่งความรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อิสระปราศจากข้อผูกมัดใดๆของอำนาจแห่งความรู้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปสามารถทำได้ แต่การที่จะกระทำได้นั้นต้องปราศจาก “ความเชื่อ” ในสิ่งนั้น ดังเช่นในโลกยุคก่อนก็มีความเชื่อที่ว่าโลกกลม หรือความเชื่อที่ว่าชายฝั่งด้านตะวันออกของทวีปแอฟริกาใต้และชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปแอฟริกานั้นไม่เคยเชื่อมติดกัน ความเชื่อต่างๆนี้ได้ถูกพังทลายลงไปสู่ความจริงที่ล้วนแต่ด้วยความสงสัยในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งสิ้น การที่ใครสักคนกล้าที่จะสงสัยในสิ่งต่างเหล่านี้นั้นต้องปราศจากการเชื่อและการยึดมั่นของวาทกรรมที่เป็นอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ฉนั้นและการสงสัยนี้เองก็นำพาเราไปสู่ความรู้ที่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ได้มาซึ่งวาทกรรมใหม่ที่ไม่รู้จบ

ดังที่ได้กล่าวมาการตั้งข้อสงสัยต่อสิ่งใดหรือชุดความรู้ใดๆต้องปราศจากความเชื่อและยึดติดกับสิ่งๆนั้น แต่ถ้าเรายังคงยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่นั้นเราก็ยังคงวนเวียนกับชุดของวาทกรรมนั้นๆสืบต่อกันมา ฉะนั้นแล้วความเชื่อนี้เองนับเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่จะนำพาไปสู่ความรู้ใหม่ๆ

ขอสงสัยต่างๆที่กล่าวมานี้นำพาไปสู่การสงสัยหรือการตั้งคำถามต่อสิ่งที่มีความเชื่อและแรงศรัทธาของฝูงชนเป็นหัวใจหลัก และยากที่จะหาข้อโต้แย้งทางทฤษฎีที่เป็นในทางจิตมายืนยัน สิ่งดังกล่าวนี้คือ ศาสนา (ในที่นี้ผู้เขียนจะยกพุทธศาสนามาเป็นกรณีศึกษาเพราะเป็นศาสนาที่ผู้เขียนเชื่อและศรัทธาอยู่) พุทธศาสนาถือกำเนิดมาเนินนานหลายพันปี ชุดข้อมูลความรู้ต่างก็ยังคงสืบต่อกันมาโดยไร้ข้อสงสัยหรือการตั้งคำถาม สิ่งที่เป็นอยู่ของพุทธศาสนาในขณะปัจจุบันนี้อาจเป็นสิ่งที่เป็นความเชื่อหรือคติที่สืบต่อกันมา คำว่าคิตนี้ ในแวดวงของปัญญาชนปัจจุบันมีคำศัพท์ที่นิยมใช้กันเพื่อที่จะกล่าวถึงแบบอย่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะทำให้มันเป็นจริงและเป็นไปอย่างธรรมชาติ คือคำว่า “มายาคติ(myth)” คำว่ามายาคตินี้ปรากฏในหนังสือ mythologies โดย Roland Barthes Roland Barthes ได้ให้นิยามกับคำส่ามายาคติไว้ว่า“มายาคติ(myth) หมายถึงการสื่อความทางคติความเชื่อทางวัฒนธรรม ซึ่งถูกกลบเกลื่อนให้เป็นที่รับรู้เสมือนว่า เป็นธรรมชาติหรืออาจกล่าวให้ถึงที่สุดได้ว่าเป็นกระบวนการของการทำให้หลงอย่างหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่ามายาคติเป็นการโกหกหลอกลวงแบบปั้นน้ำเป็นตัวหรือการโฆษณาชานเชื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริง มายาคติมิได้ปิดอำพรางสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกอย่างปรากฏต่อหน้าเราอย่างเปิดเผย แต่เราต่างหากที่คุ้นชินกับมันจนไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นสิ่งประกอบสร้างขึ้นทางวัฒนธรรม...”

สิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวมาว่าด้วยเรื่องการสงสัยและความเชื่อต่างๆทั้งหมดนี้ล้วนถูกเชื่อมโยงกับผลงานศิลปะที่มีสาระสำคัญหลักว่าด้วยเรื่องความเชื่อในทางพุทธศาสนาผลงานนี้เป็นผลงานของ ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท ในชุดผลงานชื่อ มายาคติกับความเชื่อทางวัตถุในพุทธศาสนา ผลงานของ ศุภวัฒน์ ชุดนี้ได้มีพัฒนาและสานต่อจากผลงานความคิดในชุดแรกเริ่มว่าด้วยเรื่องปรัชญาที่แท้จริงของพุทธศาสนา ศุภวัฒน์ ได้ค้นคว้าและแสดงออกของ หลักคำสอนในพุทธศาสนาที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาเป็นภาษาภาพหรือผลงานศิลปะ ผลงานศิลปะดั่งกล่าวนี้มีความแตกต่างจากผลงานที่มีเนื้อหาของพุทธศาสนาแบบไทยประเพณีที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาอย่างสิ้นเชิง แต่เขานำเนื้อหาของพุทธมาผสมผสานกับการแสดงออกของศิลปะในกาลปัจจุบัน โดยผลงานมีกลิ่นอายของความเป็นร่วมสมัยอยู่ในตัวไม่ว่าจะเป็นเทคนิค กระบวนการคิดที่สอดคล้องกับเทคนิค หรือวิธีการนำเสนอ ศุภวัฒน์ ได้สร้างเฟรมผ้าใบด้านหน้าปรากฏรูปของพระพุทธรูปที่ไร้สิ่งสีสันใดๆมีเพียงน้ำหนักอ่อนแก่ที่ดูแล้วสงบนิ่งหันหลังให้แก่ผู้ชมผลงาน แต่เมื่อผู้ชมเข้าไปใกล้ผลงานจากภาพเขียนพระพุทธที่สงบนิ่งธรรมดานั้นก็ปรากฏแสงออกมาจากด้านหลังพร้อมกับตัวอักษรที่เป็นคำสอนของพุทธศาสนาเรียงรายเต็มผืนผ้าใบ จุดสนใจของผลงานชิ้นนี้คือการที่ผู้ชมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าถึงสาระสำคัญของชิ้นงาน เสมือนว่าผู้ชมก็สามารถเข้าถึงแก่นสาระของพุทธศาสนาได้ด้วยการกระทำของตน ดังเช่น คำกล่าวที่ว่า “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องกระทำมิใช้ศาสนาของการขอวิงวรเพื่อที่จะให้ได้มา (ว.วชิรเมธี)”

สิ่งที่ ศุภวัฒน์ ต้องการที่จะสื่อนั้นกล่าวคือสิ่งที่ปรากฏตรงหน้านั้นอาจมิใช่สิ่งที่จริงแท้หรือเป็นสาระเสมอไปอาจเป็นเพียงแค่เปลือกของสาระที่ซ้อนอยู่ภายใน เป็นสิ่งที่น่าสังเกตได้ว่า ศุภวัฒน์ ก็ยังคงมองคำว่ามายาคติเป็นสิ่งที่ฉาบหน้าพุทธศาสนาในที่นี้คือพิธีกรรมหรือวัตถุทางพุทธศาสนาเท่านั้น แต่สิ่งที่ยังเป็นหัวใจหลักของพุทธศาสนาหรือคำสอนต่างๆก็มิได้ไปแตะต้องเลยโดยยังคงมีความเชื่อว่าวาทกรรมนี้เป็นสิ่งที่จริงแท้และสมบรูณ์ที่สุด

กระบวนการคิดนี้แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่จริงของวาทกรรมหลักเป็นศูนย์กลาง ทรงพลังและยิ่งใหญ่และยากที่จะตั้งคำถามหรือมีข้อสงสัย วาทกรรมที่เป็นศูนย์กลางทางความคิดนี้แสดงถึงการดำรงอยู่ของผู้ประพันธ์ (the author) ซึ่งได้แยกตัวจากระบบภาษาและผู้รับสาร แต่สิ่งที่เป็นสาระของพุทธศาสนานั้นคือสิ่งที่เป็นสาระสำคัญในชุดข้อมูลความรู้ที่มีการถ่ายทอดในระบบภาษาหรือเรียกว่า พระไตรปิฏก ที่ได้มาจากการกระทำปฏิบัติจริงของผู้ประพันธ์หรือพระพุทธเจ้า ความจริงสิ่งที่มีอยู่นี้คือภาษาที่เป็นวาทกรรมสืบทอดกันมาโดยคติหรือความเชื่อและความเชื่อในเรื่องของการมีอยู่จริงของผู้ประพันธ์ที่ถูกปรุงแต่งให้มีความจริงแท้มีบทสรุปที่แน่นอนมีแบบแผนชัดเจนเพื่อที่จะไปสู่ปลายทางคือนิพพาน

คำว่ามายาคตินี้จึงมีความน่าสนใจเมื่อถูกจับและเอาเข้ามาเชื่อมโยงกับพุทธศาสนา ที่ว่าการนำคำนี้มาเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงเรื่องความเป็นไปของพุทธศาสนาในตอนนี้ที่ถูกฉาบไปด้วยความเชื่อที่ลวงความจริงเอาไว้เสมือนการสร้างความชอบธรรมให้แก่พุทธศาสนาที่เป็นแก่นแกนสาระที่แท้จริงว่าความจริงที่สมบรูณ์สูงสุดมันมีอยู่จริงแต่ถูกมายาต่างๆบดบังอยู่ เมื่อการมีอยู่จริงของผู้ประพันธ์ (the author) เกิดมาพร้อมกับความเชื่อนั้นก็ยากที่เราจะพยายามเข้าไปศึกษาถึงโครงสร้างความรู้ต่างๆถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่ในความเป็นจริงโครงสร้างทางความรู้ต่างๆมันต้องมีการผันแปร เคลื่อนไหวไปตามบริบทของเวลาและสถานการณ์ ฉะนั้นแล้วการเข้าไปศึกษาหรือการนำคำว่ามายาคติเข้าไปศึกษากับพุทธศาสนานั้นผู้กระทำการดังกล่าวต้องมีความกล้าที่จะเข้าไปศึกษาถึงรากของพุทธศาสนา เพื่อที่จะได้บทสรุปว่ามายาคตินั้นเริ่มขึ้นจากจุดไหนอย่างแท้จริง รูปแบบการตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆนี้อาจเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า “ต่อต้านรากฐาน(Antifoundational)” เพื่อที่จะเข้าไปศึกษาและหาจุดเริ่มต้นของปัญหา

จากคำกล่าวที่ปรากฏในหนังสือ Postmodernism and Philosophy โดย Stuart Sim ได้ให้คำอธิบายคำว่า Antifoundational ดังนี้ “Antifoundationalism (การต่อต้านรากฐาน) ศัพท์เทคนิคเพื่ออธิบายสไตล์ของปรัชญานี้คือ antifoundational(การต่อต้านรากฐาน) บรรดานัก Antifoundationalists จะถกเถียงถึงความมีเหตุผลหรือความสมบูรณ์เกี่ยวกับรากฐานต่างๆของคำอธิบาย(discourse-วาทกรรม) โดยจะตั้งคำถามเช่น "อะไรที่มารับประกันความจริงรากฐานของคุณ (นั่นคือ จุดเริ่มต้น) ? ”ทั้งนี้การต่อต้าน ที่ผู้เขียนได้กล่าวมานี้มิใช้การปฏิเสธอย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบที่ไม่ได้มองถึงสาระความรู้ของรากฐานที่เราเข้าไปศึกษา กระบวนการด้งกล่าวนี้เป็นกระบวนการของ “จุดเริ่มต้น” ที่จะเข้าไปทบทวน หรือตรวจสอบวาทกรรมต่างๆที่มีความมั่นคงและเป็นศูนย์กลางอย่างพุทธศาสนา

ดังเช่นที่ได้กล่าวมา เป็นการยากที่จะเข้าไปต้องข้อสงสัยกับความรู้ของพุทธศาสนาที่มีกำแพงของความเชื่อเข้ามากั้นดังกล่าวนี้ ปรากฏให้เห็นในผลงานศิลปะของ ศุภวัฒน์ ที่ยังปรากฏกำแพงของความเชื่อในเรื่องความจริงหรือความสมบรูณ์ในเรื่องของความรู้รากฐานนั้นๆ โดยในผลงานก็ยังปรากฏให้เห็นถึงการหยุดยั่งการวิพากษ์อยู่ที่คำว่ามายาคติ ที่เข้าไปตรวจสอบแค่ผิวนอกปราศจากการลงลึกถึงแก่นแกน การแสองออกมาเป็นผลงานศิลปะของ ศุภวัฒน์ นั้นจึงดูประนีประนอมซึ่งไม่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่หยิบยกขึ้นมานำเสนอคือคำว่ามายาคติ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และท้าทายความคิดเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดี่ยวกัน ศุภวัฒน์ ก็มีความกล้าที่จะนำสิ่งที่ค่อนข้างไปด้วยกันไม่ได้มานำเสนอผ่านผลงานศิลปะ

ผลงานศิลปะของ ศุภวัฒน์ เป็นรูปแบบจิตกรรม 2 มิติ ที่มีการผสมผสานเทคนิคอย่างน่าสนใจ และสิ่งที่ยังเป็นจุดสนใจที่สุดคือการนำผู้ชมมาเป็นส่วนหนึ่งของความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน ผลงานของ ศุภวัฒน์ จึงไม่ตายในโลกของศิลปะหรือภายในห้องแสดงผลงาน ด้วยเทคนิคและ กุศโลบาย นี้ อาจนำพาไปสู่การเกิดการตั้งคำถามหรือข้อสงสัยของผู้ชมผลงานเองก็ได้ ผลงานศิลปะในยุคสมัยนี้ (ผู้เขียนขอใช้คำเรียกยุคสมัยนี้ว่า“ยุคหลังความเป็นไปได้ใหม่ทางศิลปะ”....) ไม่จำเป็นต้องเป็นระเบียบแบบแผน มีความสมบรูณ์แน่นอนสะอาดหมดจดในตัว หรือเป็นเพียงแค่สำแดงกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งทางศิลปะโดยมีการเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้คิดไตร่ตรองและเข้าไปตัดสินกับผลงานนั้นๆอย่างมีเสรีภาพของการชมผลงานศิลปะ

ท้ายที่สุดนี้ผู้เขียนขออณุญาติตั้งข้อสงสัยหรือคำถามต่อผลงานของศุภวัฒน์ชิ้นนี้ว่า “พระพุทธรูปที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นหันหลังให้อะไรแล้วกำลังมองอะไรอยู่ ?”

19 03 10 : TH

........................

ขอขอบคุณ : 24hrsartcriticism.blogspot.com ที่มาของบทความ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

one+2=สาม” สัจจะของการสร้างสัญญะกับการเล่าเรื่องใหม่

24 hrs art criticism

by

vaczeen

one+2=สาม” สัจจะของการสร้างสัญญะกับการเล่าเรื่องใหม่


ถ้าหากข้าพเจ้าเทน้ำเดือดจากกาน้ำลงสู่แก้ว...น้ำในแก้วนั้นจะเหมือนกับน้ำในกาหรือไม่” ถ้อยคำข้างต้นนี้เป็นเพียงการตั้งสมมุติฐานเพื่อที่จะหาความจริงแท้ที่ปรากฏและไม่ปรากฏของสรรพสิ่ง ความจริงแท้ของสรรพสิ่งต่างๆนี้ยังคงเป็นคำถามที่เราต่างก็พยายามที่จะหาคำตอบถึงแม้จะรู้และมีบทสรุปสุดท้ายตรงหน้าแล้วก็ตาม บางคนอาจมีถ้อยคำที่กล่าวว่า "เราจะมานั่งถกเถียงปัญหาต่างๆนี้เพื่ออะไร เราจะเอาคำตอบนี้มาเพื่ออะไร จะทำไปทำไม" ถ้อยคำเดียวที่ผู้เขียนนี้มีให้กับคำถามเหล่านี้คือ “ความรู้” ความรู้ในที่นี้เป็นความรู้ที่เกิดจากกระบวนการที่เรานั้นได้ค้นคว้าหาคำตอบจากสิ่งๆนั้น เพื่อต้องการความขัดเจนของความจริง และเป็นหลักฐานของความคิดที่ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมทางความคิด


ความจริงที่เราต้องการเข้าไปค้นหานี้ในตัวของมันเองหรือตัววัตถุสรรพสิ่งต่างๆนั้นมันมีความเป็นไปและมีพลวัตรในตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งเราเองเข้าไปกำหนดขีดเส้นและนิยามสิ่งต่างๆด้วยระบบภาษา แต่ในกระบวนการการอธิบายความทางภาษานั้นมิสามารถตอบความจริงที่ปรากฏได้อย่าง สมบรูณ์แบบ ภาษาเป็นเพียงสัญญะที่ฉาบหน้าความจริงแท้โดยปรากฏหน้าที่แค่เพียงการนิยามหรือการเรียกขาลของสิ่งสิ่งนั้น ทั้งนี้หากพินิจคำถามข้างต้นแล้ววัตถุหรือสรรสิ่งที่ปรากฏในข้อความข้างตนนี้มี3สิ่งคือ กาน้ำ แก้วน้ำ และน้ำที่เดือด คำถามก็คือน้ำที่เทจากกาน้ำลงสู่แก้วน้ำ น้ำในแก้วเหมือนน้ำในกาหรือไม่ หากตอบจากสภาพความเป็นจริงน้ำเมื่อเปลี่ยนรูปจากภาชนะหนึ่งสู่ภาชนะหนึ่ง น้ำนั้นมันก็ยังคงเป็นน้ำ มิได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย


หากแต่คำตอบนี้มิได้มองในกรอบของเวลาและสถานที่ (time&space) ของความเป็นจริง ความเป็นจริงในสิ่งต่างมักจะเกี่ยวเนื่องกับสองสิ่งนี้ กล่าวคือ น้ำได้ถูกเปลื่ยนแปลงไปในบริบทของเวลาและผลของเวลาเกิดจากการกระทำของการเปลื่ยนแปลงสถานที่ โดยน้ำที่เปลี่ยนไปคือผลพวงของเวลาที่ทำให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนสถานะของน้ำให้เย็นลงซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของเวลาและการเปลี่ยนไปของภาชนะที่บรรจุน้ำ ทั้งหมดนี้มันเกิดจากการกระทำที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีความทับซ้อนกันระหว่างความหมายและห่วงเวลา ความจริงที่ปราฏกอยู่คือ เวลาเป็นสิ่งที่มีตัวตนและจริงแท้โดยที่เราไม่สามารถหยุดเวลาเพื่อที่จะหาคำตอบของสรรพสิ่ง “ถ้าเรามองไปในกรอบของเวลาที่เป็นจริงแล้วสาระความจริงจากคำถามนี้มิใช่อยู่ที่น้ำยังคงเป็นน้ำหรือไม่ แต่หากคือเวลานั้นมันส่งผลต่อคำตอบของความจริงของน้ำอย่างไร” ฉะนั้นแล้วสัญญะต่างๆหรือการนิยามความหมายต่างๆก็ดูด้อยค่าไปเมื่อมีความเป็นจริงและความเป็นไปของเวลาที่ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหยุดนิ่ง


การหาคำตอบของความจริงแท้ต่างๆนี้ไม่ได้มีแต่เพียงการการใช้ความคิดที่ปรากฏออกมาเป็นไปในรูปแบบของวาทกรรมงานเขียนเท่านั้น แต่หากยังปรากฏในรูปแบบของศิลปะ โดยในการปรากฏของรูปแบบของศิลปะในที่นี้ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างผลงานศิลปะร่วมสมัยที่มีรูปแบบที่เป็นสื่อผสมของ วรรณพล แสนคำ ในผลงานชุด “สัญญะใหม่ของวัตถุกับเวลาที่ถูกรั่ง” (New Sign of object with suspended moment.) วรรณพล ได้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เกิดจากความคิดที่ว่าวัตถุต่างๆนั้นมีเรื่องราวและเวลาในตัวมันอย่างสมบรูณ์ ฉะนั้นแล้วจะมีกลวิธีที่มีการต่อลองกับวัตถุอย่างไรเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งการสำแดงเรื่องราวต่างๆของวัตถุออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมในงานศิลปะ


ผลงานศิลปะของ วรรณพล นั้นได้เลือกใช้วัตถุต่างๆที่มีเรื่องราว เนื้อหาในตัวมันเอง โดยมีการแสดงออกของเรื่องราว เนื้อหาผ่านล่องลอย พื้นผิว ที่ผ่านการใช้งานและสึกกร่อนไปตามกาลเวลา โดยกระบวนการแสดงออกของ วรรณพล มีเทคนิคและวิธีการที่สลับซับซ่อนคือ การนำวัตถุต่างๆนาๆ ที่ได้เลือก และตนเองสนใจรู้สึกกับเรื่องราวของวัตถุมาทำการซับ หรือถอดพิมพ์ โดยใช้ยางพารา และกระดาษสา ร่องรอยและพื้นผิวต่างๆของวัตถุจึงถูกถ่ายทอดมาสู่อีกวัสดุที่เป็นแม่พิมพ์ และนำร่องรอยของวัตถุนั้นมาตีแผ่นำเสนอ จัดวางในระนาบของ2มิติ


กระบวนการทำซ้ำและย้ำความเป็นจริงของวัตถุนี้ได้ปรากฏให้เห็นในผลงานของ วรรณพล โดยการเสนอความเป็นจริงของวัตถุที่มีความหมาย หน้าที่การใช้งานและตัวตนของสรรสิ่ง ซึ่งการกระทำการดั่งกล่าวนี้ได้แสดงให้เห็นถึง ความพยายามที่จะหาความเป็นไปได้ใหม่ของสิ่งที่ซ้อนเร้นในวัตถุในทางความหมายหรือ สัญญะต่างๆในการนิยามวัตถุสิ่งของนั้นๆ ซึ่งการกระทำนี้ได้กลับกลายเป็นการสลายเส้นแบ่ง/ลบล้างคุณค่าของวัตถุ วัตถุดั่งกล่าวได้เข้ากระบวนการการปรากฏรูปที่ไร้ตัวตน หรือ “ตัวตนที่ปราศจากรูป a body without organ โดย Deleuze and Guattari ( รัฐ-ชาติ ความไร้ระเบียบโลกชุดใหม่ 2549:27-34 ) มีความก่ำกึ่งระหว่างความแน่นอนของทางความหมาย/กับความอ่อนค่าทางการรับรู้ ความก่ำกึ่งที่ปรากฏอยู่นี้ได้สร้างความไม่แน่นอนของการรับรู้วัตถุสิ่งนั้น โดยผันแปรและเป็นไปตามความรู้สึกของผู้ชม วัตถุที่ถูกนำมาเสนอได้แปลงค่าเป็นถ้อยคำหนึ่งในประโยคบอกเล่าเท่านั้น แต่ประโยคบอกเล่านี้ไม่ได้ชี้ชัดบทสรุปของผู้ชมว่าจะต้องมีเป้าหมายเดี่ยวกัน ผู้ชมอาจตีความ แปลงค่า และให้การนิยามออกไปต่างๆนาๆ โดยที่อาจไม่สนใจเรื่องราวที่แฝงอยู่ในวัตถุตามที่ วรรณพล ได้มีการนำเสนอ หรือรู้สึกก็ตาม


เป็นที่น่าสังเกตว่าผลงานชุดนี้ยังมีประเด็นที่เป็นหัวใจหลักที่ปรากฏออกมาให้เห็นคือการปรากฏตัวในมิติของเวลา พื้นผิวร่องรอยที่ วรรณพล ได้นำเสนอนั้นมีเวลาปรากฏอยู่ วัตถุที่นำเสนอมีการผ่านการใช้งาน และความเป็นไปของเวลาที่ผูกโยงกับสถานที่ดั่งเดิมอยู่ ความหมายและหน้าที่ของวัตถุต่างๆนั้นมีสถานที่รองรับ โดยวัตถุดังกล่าวได้พรากจากที่อยู่และหน้าที่ดั่งเดิมของมันมาสู่วัตถุที่เป็นหนึ่งในภาษาของผลงานศิลปะ แน่นอนนัยยะความหมายต่างๆก็ได้ถูกลดทอนลงจากการผลัดถิ่นของวัตถุ การผลัดถิ่นที่กล่าวมานี้ได้ชี้ให้เห็นถึงวรรณพลได้เป็นผู้กระทำ ที่จะพรากความหมายเดิมสู่ความหมายใหม่ที่แตกต่างออกไป จากวัตถุที่มีหน้าที่การใช้งาน สู่วัตถุที่เป็นสสารหยุดนิ่งและกลับกลายสู่คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ทางศิลปะที่มุ่งประเด็นไปที่พื้นผิวที่แสดงเป็นปรากฏการณ์ตรงหน้า


สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนแปลงต่างๆเหล่านี้ก็เป็นไปตามเงื่อนไขของเวลาและสถานที่ ในตัวผลงานทั้งวัตถุที่เป็นแม่แบบและผลลัพธ์ที่เป็นการนำร่องรอยมาตีแผ่ในรูปแบบที่คล้ายแม่พิมพ์นั้นล้วนแล้วแต่มีกาลเวลาห่อหุ้มอยู่ ดังที่ วรรณพลได้ทำการนำเสนอร่องรอยต่างๆนี้ในนัยยะของการกระทำได้มีการหยุดเวลาที่ฉาบหน้าวัตถุชั่วขณะซึ่งมีการให้นิยามของเวลาเป็นร่องรอย พื้นผิวและนำเสนอในรูปแบบ2มิติ การหยุดเวลาแล้วตีแผ่นี้ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว “เป็นการนำเสนอที่ไม่ได้มีการหยุดเวลาแต่ประการใด แต่เป็นการนำเวลาของกาลปัจจุบันมาซ่อนทับกับหลักฐานที่เกิดจากเวลาในอดีตมาเล่าในเรื่องใหม่” แต่การเล่าเรื่องใหม่ในที่นี้มีชั้นเชิงในการนำเสนอ โดยการสลายการรับรู้เดิมสู่การรับรู้แบบใหม่ คือการทำให้หลักฐานทางกาลเวลาต่างๆที่ได้กระทำจากวัตถุ 3 มิติสู่ระนาบ 2 มิติ การนำวัตถุที่มีความคุ้นชินมีอากาศไหลเวียนรอบด้านสู่ระนาบแบบปราศจากมิติใดๆนั้นเป็นการลดทอนคุณค่าและความหมายของวัตถุโดยเป็นรูปแบบตัวแทน/หรือร่างทรงทางความหมายของวัตถุ ร่างทรงดังกล่าวนี้มิได้ตกอยู่ที่ผลงานศิลปะที่อยู่ตรงหน้าผู้ชมเท่านั้น ผู้ชมก็ตกเป็นร่างทรงของผลงานศิลปะเช่นกันโดยการที่เข้าไปจ้องมองจากภายนอกผลงาน ที่มีการปฏิสัมพันธ์ทางความคิดกับผลงาน ตัวตนหรือความคิดของผู้ชมก็เป็นตัวตนที่ปราศจากรูปชั่วขณะ จิตใจจดจ่ออยู่กับผลงานเราจึงเป็นร่างทรงของผลงานชั่วขณะ เพราะผลงานไม่มีข้อยุติหรือสิ้นสุดแต่ประการใด ฉะนั้นผู้ชมก็ตกอยู่วงล้อมของกรอบวาทกรรมของผู้สร้างสรรค์ ผลงานของ วรรณพล จึงมีพลังในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ทางความคิดระหว่างผู้ชมกับผลงานที่มีการเล่าเรื่องใหม่


แต่คำว่าเรื่องใหม่ในที่นี้มิได้เป็นเรื่องใหม่ สด สะอาดแต่ประการใด แต่เป็นการเล่าเรื่องใหม่ที่เป็นเรื่องหลังจากเรื่องเก่าที่มีเหตุการณ์ เรื่องราวที่หลงเรื่องมาจากวัตถุ วัตถุก็ยังมีตัวตนดั่งเดิมที่เป็นอยู่ ถึงแม้เรื่องราวใหม่ๆนี้เป็นเรื่องที่แตกประเด็นไปจากเดิม โดยการเปิดจินตภาพของผู้ชม แต่ก็ปฏิเสธิไม่ได้ว่ายังมีกรอบมโนทัศน์ของวัตถุดั่งเดิมอยู่ การเป็นร่างทรงก็เป็นร่างทรงที่อยู่ในกรอบมโนทัศน์เดิม ดังนั้นจินตภาพจึงไปได้ไม่ไกลกว่ามโนทัศน์เดิมของวัตถุ ฉะนั้นแล้วคำว่า “สัญญะใหม่ (New Sign)” ในผลงานนี้จึงไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายเท่าที่ควร เป็นเพียงสัญญะหนึ่งที่เกิดจากการกระทำที่ซ่อนทับแล้วส่งผลต่อการรับรู้ความหมาย

ในที่นี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่มีการแตกประเด็นจากศิลปะสู่ประเด็นทางสังคมที่เป็นอยู่ในกาลปัจจุบันคือเหตุการณ์สถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือ นปช. ตามที่ทราบกันเหตุการณ์ทางสังคมว่าด้วยเรื่องการเมืองนี้มีบานปลายและหาข้อยุติหรือบทสรุปได้ยาก กล่าวคือการชุมนุมเรียกร้องสิทธิต่างๆว่าด้วยเรื่องการเรียกร้องประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของระบบชนชั้น ไพร่ อำมาตย์ หรือการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้มาจากการรัฐประหารของคณะ คมช.ต่างๆก็ดี ซึ่งที่ทางฝั่งเสื้อแดงเรียกร้องตามสิทธิของรัฐธรรมนูญนั้นก็จะดูเหมือนจะถูกกลบเกลื่อนด้วยวาทกรรมที่หนักแน่นว่า นปช.นั้นเป็นเพียงเสียงหรือตัวแทนของอดีตนายก ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการจะโค้นล้มรัฐบาลและกลับคือสู่อำนาจเท่านั้น ข้อการเรียกร้องต่างๆหรือสิทธิในการชุมนุมในฐานะพลเมืองไทยจึงดูแบนราบและไปไม่ถึงเนื้อหาสาระที่ต้องการเรียกร้อง ฉะนั้นแล้วมโนทัศน์ของคนที่อยู่ภายนอกที่บริโภคสื่อทุนนิยมแล้วภาพลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช.จึงเป็นเพียงร่างทรงของ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นเฉกเช่นเดี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่ออกมาเรียกร้องมิให้มีการยุบสภาของรัฐบาลก็ปฏิเสธิไม่ได้เช่นกันว่าเป็นกลุ่มคนหรือตัวแทนของฝ่ายตรงข้ามคือเสื้อเหลืองหรือพันธมิตรฯ ที่เคยโค่นล้ม ทักษิณ ชินวัตร ถึงแม้จะมีพัฒนาการโดยมีการละลายอัตลักษณ์เดิมสู่การสร้างอัตลักษณ์ใหม่โดยเปลื่ยนสีเสื้อแต่การกระทำทั้งหมดก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นสีเหลื่องอย่างเต็มที่ในฐานะกลุ่มคู่ตรงข้าม ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจนหาข้อยุติมิได้ทางการเมืองไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้นำพาเราสู่สถานการณ์ของสงครามกลางเมืองที่มีความรุ่นแรงของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงหรือรัฐบาล(ทหาร) ทั้งสองฝ่ายนี้ล้วนแล้วแต่มีฐานะและบทบาทเป็นร่างทรงด้วยกันทั้งนั้น...


จากข้อสังเกตการณ์ในทางการเมืองที่ได้กล่าวมานี้จะสังเกตได้ว่าไม่ว่าสถานการณ์จะพลิกผันให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการเล่าเรื่องใหม่อย่างไรก็ตาม มโนทัศน์ดั่งเดิมก็ยังคงและมีตัวตนอยู่เพียงแค่ไม่ปรากฏรูปเท่านั้น แต่ทรงพลังในการแสดงออกไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมสู่ผู้เฝ้าสังเกตการณ์


เช่นเดียวกับผลงานของ วรรณพล ที่กระทำการสร้างรูปใหม่จากสิ่งเดิมโดยหลีกหนีไม่พ้นมโนทัศน์เดิมเพียงแต่มีการเสริมเติมแต่งด้วยการปรากฏตัวของร่องรอยกาลเวลา ผลงานศิลปะของเขาจึงเป็นการ Desing เรื่องราวให้มีความน่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตามวัตถุที่มีการนำเสนอนั้นก็มีพลวัตรและเรื่องราวต่างๆครบถ้วน ผลงานศิลปะชุดนี้จึงเป็นการนำเสนอมากกว่าที่จะทดลองหรือหาความเป็นไปได้ใหม่ของวัตถุที่แสดงออกในเรื่องราวที่แสดงออกทางพื้นผิว แต่ถ้าหากจะมองความเป็นไปได้ของการทดลองนั้นก็เป็นการทดลองที่ว่าด้วยเรื่องของความรู้สึกที่ผู้ชมได้เข้ามาปฏิสัมพันธิกับผลงานและปะทะกับร่องรอยของพื้นผิววัตถุที่บ่งบอกถึงกาลเวลา ฉะนั้นแล้วผลงานของ วรรณพล เปรียบเหมือนกับการเทน้ำจากแก้วรดลงฝ่ามือและรับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นไปของน้ำ

24 hrs art criticism

.................................
ขอขอบคุณ : 24hrsartcriticism.blogspot.com ที่มาของบทความ

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต

ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต


การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ลักษณะ Fantasy Style ชุด ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต โดย เกรียงไกร กุลพันธ์ ศิลปินได้นำเอาแนวคิด คติธรรมจากสุภาษิตอีสาน ที่มีจินตนาการ สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิต ความสมดุลของธรรมชาติ การสมมุติให้สิ่งต่างๆดูเหมือนมีจิตวิญญาณ มีชีวิต มีความสัมพันธ์ขาดกันไม่ได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่นักปราชญ์โบราณได้กล่าวไว้ มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ให้ข้อคิดเป็นคติเตือนใจ โดยศิลปินได้แทนค่าความหมายในเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) และสื่อแทน (Representation) เพื่อส่งเสริมเนื้อหาและกระตุ้นให้ผู้ชมได้ตีความตามจินตนาการ ได้เรียนรู้วิถีแห่งธรรมชาติ อันเป็นตัวสานให้เกิดความเข้าใจในการดำรงชีวิต เป็นทัศนะที่สะท้อนความรู้สึกจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเกรียงไกรได้นำมาผสมผสานกันกับเรื่องราวในปัจจุบัน โดยสื่อผ่านผลงานจิตรกรรมกับเทคนิคที่ซับซ้อนอันเป็นรูปแบบเฉพาะตัว

ด้วยความที่ศิลปินเติบโตในภาคอีสานได้เรียนรู้จากประเพณี 12 เดือน ของชาวอีสานหรือที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ที่คนโบราณรู้คุณค่าของธรรมชาติ ดิน น้ำ ฟ้า ผืนป่า ต้นไม้ เห็นประโยชน์ของธรรมชาติ ซึ่งความรู้ ความเข้าใจเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเป็นวรรณกรรมคำสอน สอดแทรกกุศโลบายต่างๆ เป็นตัวสานที่ถ่ายทอดให้เกิดความเชื่อ ความเข้าใจในการที่จะดำรงชีวิต อยู่กับธรรมชาติ อยู่อย่างเกื้อหนุนกัน วรรณกรรมคำสอน หรือ สุภาษิตอีสาน เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีความเจริญในด้านศิลปะวัฒนธรรม ซึ่งภาษิตอีสานนี้สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท อาทิ คำกลอนภาษิต , ผะหญาภาษิต , สอย , หนังสือเจียง , กาพย์กลอน

"มนุษย์กับธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่อาจแยกออกจากกันได้ ร่างกายประกอบกับธาตุทั้ง 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ เหมือนกับพืชและสัตว์อื่นๆ รูปกายมนุษย์นี้ดำรงอยู่ได้โดยการแลกเปลี่ยน แร่ธาตุ กับสิ่งแวดล้อม ในขบวนการกิน ดื่ม ขับถ่าย หายใจออกและหายใจเข้า ดังนั้นมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่อดีตกาล มนุษย์ตระหนักในความสำคัญของความรู้ แสวงหา สร้างสรรค์ปัจจัยดำรงชีพและการดำเนินกิจกรรมสังคม มนุษย์พยายามเข้าใจธรรมชาติ เรียนรู้และหาวิธีที่จะอาศัยอยู่รวมกับธรรมชาติ แล้วถ่ายทอด เผยแผ่ความรู้ ความเข้าใจผ่านคติความเชื่อ วรรณคดีพื้นถิ่น ที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้มนุษย์ ผู้พึ่งพาธรรมชาติ เกรงกลัวธรรมชาติ เกรงกลัวต่อเทพผู้ปกปักรักษาพื้นที่นั้นๆเคารพและให้เกียรติต่อธรรมชาติ ธรรมชาติจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกปัจจุบัน"...เกรียงไกร

จากคติ แนวคิด ที่มาดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานของเกรียงไกร โดยศิลปินได้นำเรื่องราว เนื้อหาจากภาษิตอีสาน เลือกเอาหมวดที่มีความหมายสอดคล้อง มีปฏิสัมพันธ์กับบทบาทในชีวิตประจำวัน ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดผลสะท้อนต่อชีวิตและจิตใจ อันมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มานำเสอ อาทิ ภาษิตจากวรรณกรรมประเภท "ผะหญา"(เป็นคำนามแปลว่าปัญญา ปรัชญา ความฉลาด เป็นคำพูดที่มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ให้ข้อคิดเป็นคติเตือนใจซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้นำไปปฎิบัติ) เช่น “เสือได้กินเนื้อเพื่อป่าไม้มีหนาม ไม้งามเพื่อมีเสืออยู่” หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เช่น เสือก็อาศัยป่า ป่าก็อาศัยเสือ เสือได้กินเนื้อเพราะมีป่า ป่าไม้ไม่ถูกทำลายเพราะคนกลัวเสือ...


*หมายเหตุ ชื่องาน ขนาด เทคนิค จะตามลงให้ในภายหลัง*

Soul of the city

Soul of the city
จิตวิญญาณแห่งเมือง

เนื่องจากสภาพการณ์ ณ เวลาปัจจุบัน เมืองหลวงกรุงเทพมหานคร มีการเพิ่มของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว ทำให้มีความจำเป็นต้องก่อสร้างตึก อาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นให้ทั่วถึง ดังนั้นสิ่งก่อสร้างจึงเกิดขึ้นมากมายเพื่อรองรับอุปสงค์นี้ และด้วยตัวสภาพของเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันกันสูงในสังคม มุ่งเน้นความเจริญไปทางด้านวัตถุ ที่รกร้าง อาคารเก่า จึงที่ถูกรื้อถอนลงเพื่อสร้างอาคารใหม่อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สภาพการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสังคมและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่แวดล้อม...

ทัศนะ มุมมอง ที่มาจากปัญหาและผลกระทบดังกล่าวเป็นที่มาของผลงานจิตรกรรมสะท้อนสภาพแวดล้อม การแข่งขัน การล่มสลายในบางยุค บางช่วงเวลาทางเศรษฐกิจของสังคมเมือง ชุด Soul of the city จิตวิญญาณแห่งเมือง โดย พิเชษฐ บุรพธานินทร์ ศิลปินมีแนวคิดที่ต้องการนำเสนอ "ภาพความเสื่อมสลายของวัตถุหรือสถานที่ที่ดูเสื่อมโทรมรกร้างไร้ผู้คน เป็นการเปรียบเทียบเพื่อสะท้อนถึงจิตใจของคนในสังคมเมืองที่แสวงหาความมั่นคง ความสมบูรณ์ จากวัตถุภายนอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงวัตถ ที่ไม่สามารถยึดเหนี่ยวพึ่งพาได้อย่างแท้จริง" ศิลปินใช้วิธีการจัดวางองค์ประกอบของภาพให้คล้ายจิ๊กซอร์ มีการทับซ้อนแบ่งแยก มีบางส่วนบกพร่องขาดหายไปไม่สมบูรณ์ แล้วแต่ที่มาของภาพนั้นๆ เพื่อตอกย้ำความรู้สึกแห่งการเสื่อมสลายทางด้านวัตถุและจิตใจผลงานในแต่ละชิ้นของพิเชษฐจะเน้นมุมมองตึกที่ร้างหรือตึกที่ถูกระเบิด ที่ดูแล้วมีจังหวะการถูกถล่ม การผุพังที่น่าสนใจแล้วนำจัดวางองค์ประกอบของภาพโดยวิธีการทับซ้อนรูปให้เกิดความลงตัวสอดคล้องรับกับแนวความคิด เพื่อเสริมมุมมองและเนื้อหาของผลงานให้ดูหนักแน่นสะเทือนใจ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปในเมืองใหญ่ เผยให้เห็นแง่มุมของความเสื่อมสลายที่แฝงเร้นหรือบางสถานที่ก็ปราฏกตัวท่ามกลางความเจริญของวัตถุ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความทะยานอยากเพื่อตอบสนองความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ แต่ความต้องการหาใช่สิ่งที่แน่นอน ย่อมมีการเปลี่ยนผันแปรปรวนเช่นเดียวกับตึก อาคาร สิ่งก่อสร้าง ซึ่งหาได้มีความมั่นคงถาวรย่อมมีวันเสื่อมลงไป

***หมายเหตุ ชื่อผลงาน ขนาด เทคนิค จะตามลงให้ในภายหลัง***

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาวะแห่งจิตปรารถนา


ภาวะแห่งจิตปรารถนา




ธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์กันกับมนุษย์อย่างแยกไม่ออก ในขณะที่ชีวิตต้องดำเนินไปตาม กฎเกณฑ์ ของธรรมชาติ สิ่งที่มนุษย์ต้องสัมผัสอยู่ตลอดเวลา คือ กิเลส ที่คอยมาเย้ายวน อารมณ์ให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา ธรรมชาติได้ออกแบบให้ทุกๆสรรพชีวิตให้เกิดแรงขับ ในการดำรงชีพและสืบพันธ์ สิ่งที่ติดมากับความงามด้านกายภาพนั้น มักจะแฝงความรู้สึกควบคู่กันกับ “สัญญะ” นั้นๆ เช่น ความสวยงามเอาไว้ดึงดูด หรือความน่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้ป้องกันตนเอง
ที่กล่าวมาเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ที่ใช้รูปทรง รูปร่าง ลักษณะบางประการในธรรมชาติมาหยิบจับผสมผสานกับความคิดและมุมมองที่ลึกซึ้ง ทำให้เกิดการรับรู้ใหม่ เป็นความหมายในเชิงสัญลักษณ์ เปรียบเทียบ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสัจธรรมในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่เรามองข้าม โดย สุเมธ พัดเอี่ยม กับผลงานชุด ภาวะแห่งจิตปรารถนา






สุเมธได้นำเอาความงามและความไม่งามทางด้านกายภาพ โดยอาศัยข้อมูลจากธรรมชาติมาบวกกับความรู้สึกภายใน เพื่อให้เกิดรูปทรงใหม่และแฝงนัยยะทางเพศ ทำให้เห็นถึงการพรางตัว การล่อเหยื่อให้ติดกับดัก เพราะรูปลักษณ์ภายนอก เป็นผัสสะแรกที่เป็นตัวล่อความอยากของกิเลสทุกชนิด ซึ่งตัวศิลปินเองมีความสะเทือนใจและมีทัศนะคติต่อเรื่องเหล่านี้ จึงได้หยิบยกมาเป็นประเด็นในการสร้างสรรค์งาน เพราะต้องการสะท้อนให้ผูคนได้พึงระลึกนึกถึงสัจธรรมอะไรบางอย่างในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่องของ กิเลส ตัณหา ราคะ ที่มองแต่รูปลักษณ์ภายนอก โดยมิได้แสวงหาแก่นสารสาระในเบื้องลึกของจิตใจ จนเกิด โมหะ (ความหลง) โมหะนั้นเป็นปัจจัยแรกเริ่มที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาจากการเห็นผิดเป็นชอบ ขาดการนึกคิดหรือไตร่ตรองดูอารมณ์ที่เข้ามาปะทะกับ จิต ในทางตรงกันข้ามกลับปลดปล่อยความรู้สึกที่แฝงมากับอารมณ์ปรารถนาให้อ่อนไหวไปกับกิเลส จนเพิ่มเป็น เวทนา ตัณหา อุปปาทาน เป็นผลสะท้อนกลับมายังความทุกข์ของตัวเราเอง

"ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่อาศัยสองสิ่งที่เป็นตัวผลักดันคือ การดำรงอยู่และสืบพันธ์ สองสิ่งนี้เป็นเหตุให้จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ต้องเดินทางโดยเปรียบเสมือนวงล้อที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ธรรมชาติเองก็ได้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามไว้มากมายแต่ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นเพียงมายาคติที่ลวงหลอกให้เราติดกับดักทางอารมณ์ความรู้สึกจนตกเป็นทาสของกิเลส"

"การป้องกันตัว(การดำรงอยู่)และสืบพันธ์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องอาศัยอายตนะ (ช่องทางการรับรู้) โดยเล่นกับกิเลส ปรุงแต่งให้เกิดมายาภาพลวงและถูกทำให้เชื่อว่า ภาวะนั้นมีอยู่จริง เกิดความหลงเป็นเหตุให้ จิต ของผู้ที่อ่อนแอได้ปลดปล่อยตัวเอง ปล่อยให้สัญชาตญาณมาอยู่เหนือปัญญาญาณการรู้คิด ให้หลงไปกับกิเลสมายาภาพซึ่งทำให้จิตยึดเกาะไว้อย่างแน่นหนา หากไม่มีภาวะกิเลสชนิดต่างๆมาปรุงแต่งแล้ว เราจะไม่เกิดทุกข์แต่จะเกิด “ความว่าง”ความว่างนี้หมายถึงความไม่แน่นอนและไม่ถาวรของรูป เพราะรูปคือ “มายา” เมื่อใดที่จิตไม่ปรุงแต่งไปกับ กิเลส และ รูป มายาคติเหล่านั้นก็จะหายไป"...สุเมธ





*หมายเหตุ ชื่องาน ขนาด เทคนิค จะตามลงให้ในภายหลัง*

Spiritual Signs

Spiritual Signs
สัญญะแห่งจิต

Spiritual_Signs_No.2

ปัจจุบันมนุษย์ถูกรุกรานจากลัทธิที่เร่งให้บริโภค ถูกยัดเยียดด้วยเสียงต่างๆ โฆษณาภาพเคลื่อนไหว เสียงที่เร้าใจเพื่อที่จะทำให้เราหันไปดู ทุกอย่างล้วนแข่งขันตะโกนใส่หูไม่หยุดหย่อน ตอกย้ำว่าเราควรบริโภคสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำให้สมองกลวงเปล่าถูกปรนเปรอด้วยกิเลส จนไม่อาจมีพื้นที่คำนึงถึงความดีงามที่พึงมีต่อมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น “ความเงียบ” จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ให้ความสงบ เป็นที่พักใจ นำเราไปสัมผัสกับสิ่งลึกซึ้งด้านใน ซึ่งเลื่อนไหลไม่ทันสังเกตกับความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน เป็นแหล่งแห่งความสุข แรงบันดาลใจ ปลุกเราให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งเราสามารถสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยจิตที่เป็นอิสระจากการคาดคะเนล่วงหน้า และนำไปสู่ความกระจ่างในจิตใจ

หากแต่ในความเป็นจริง ร่างกายและจิตใจของเราไม่เคยหยุดนิ่ง อยากจะทำสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าอยู่ตลอดเวลา วันเวลาของเรามักจะมีเรื่องเข้ามารบกวน ทั้งความวิตกกังวล เสียใจ กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และหวั่นกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น การวุ่นวายอยู่กับงานกระจุกกระจิกกับความทรงจำที่แวบเข้ามาอย่างไม่นึกฝัน หรือคิดแต่ว่าเราจะต้องทำอะไร กายและใจของเราจึงกลายเป็นพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยความคิด และสัณชาตญาณ

Spiritual_Signs_No.3

แนวความคิด ดังกล่าวเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ผลงานสื่อวัสดุผสมชุด Spiritual Signs สัญญะแห่งจิต โดย สุนทรี เฉลียวพงษ์ ศิลปินหญิงหนึ่งเดียวของนิทรรศการนี้ สุนทรีได้ให้ทัศนะในส่วนของขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงานว่า ผืนผ้ากับความงามและคุณค่าในกระบวนการการสร้างสรรค์ เกิดจากการสังเกตบวกกับจินตนาการ นอกจากนี้ขบวนการ การทำงานยังเป็นการถักทอคติความเชื่อและคำสอนไว้ด้วยกัน

โดยตัวศิลปินมองว่าเทคนิค วิธีการนี้ สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิต ตัวตนของเรา เพื่อที่จะทำความเข้าใจต่อตนเอง "แบบแผนการใช้ผืนผ้าที่เชื่อมโยงชีวิตเข้ากับผืนผ้า สิ่งนี้คือที่มาของเรื่องราวในผ้าทอและตัวศิลปิน ผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันจากเช้าจรดค่ำ ไปจนถึงผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม อาจทอจากผู้หญิงเพียงหนึ่งคน ในหนึ่งช่วงชีวิต หากลองสังเกตแล้วเราจะเห็นวิถีชีวิต ความคิด และการจัดระเบียบของสังคม บางผืนหากมองลึกเข้าไป เราอาจเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง" ซึ่งตัวศิลปินเองนั้นมุ่งหมายที่จะแสดงความงาม ความจริงของวัสดุและกระบวนการ

จากความจริงที่ว่า"ผืนผ้า กับความงาม และคุณค่าในกระบวนการการสร้างสรรค์ ที่เกิดจากการสังเกตบวกกับจินตนาการ รวมทั้งการถักทอคติความเชื่อ และคำสอน สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิต ตัวตนของเรา และเพื่อที่จะทำความเข้าใจต่อตัวเรา" และจากคำกล่าว ของ
- HONORE DE BALZAC- One’s wardrobe reveals one’s politics; it is the story one live by; it is one’s symbolic self. เป็นสิ่งสนับสนุนการแสดงออกในการสร้างสรรค์ผลงานของสุนทรี รองรับอารมณ์ในสิ่งที่ควบคุมได้-ไม่ได้ การจัดการได้-ไม่ได้ทางกายภาพ

untitled

ทั้งนี้ ส่วนสอดแทรกเรื่องราว เนื้อหา สุนทรีได้ดึงเอาประเด็นทาง Textiles การแสดงออกทางนัย ด้วยสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย ที่แสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างผืนผ้ากับความงาม และคุณค่าในกระบวนการการสร้างสรรค์ คติ ความเชื่อและคำสอนแบบคนโบราณ ของคนทอผ้าพื้นเมืองมาเป็นนัยยะหนึ่งของผลงานด้วย


ศิลปินได้ให้ความสำคัญในประเด็นทางความคิดว่า เป็นข้อมูลส่วนหลักที่จะต้องนำเอาข้อมูลที่หลากหลายมาสรุปเข้าหากัน เพื่อที่จะสร้างทฤษฎีระบบหรือแนวความคิดให้ตรงตามความมุ่งหมาย เช่น ข้อมูลจากทฤษฎีระบบของ Textiles มารวมเข้ากับหลักการทางทัศนศิลป์ ที่ว่าด้วยเรื่องของความเงียบในงานจิตรกรรม เป็นต้น

untitled.2

untitled.4

untitled.5


untitled.6

นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค

นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค
บ๊ะจ่าง 140 x 200 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ
ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ตั้งแต่อดีต อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับสังคมการอุปโภค-บริโภค อาหารแต่ละประเภทสามารถแสดงความเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละสังคม แสดงออกไปถึงเรื่องวัฒนธรรมในแต่ละชนชาติ อาหารแต่ละประเภท อาจเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตของคนในด้านต่างๆ ทั้งทางเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจการค้า เป็นตัวกระตุ้นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ คือ ความอยาก หลากหลายประเด็นที่กล่าวมานี้ คือที่มาและแรงบันดาลใจของ พีรนันท์ จันทมาศ กับผลงานจิตรกรรมแนวเหมือนจริง ที่กระตุ้นกระเพาะอาหาร ชุด นัยยะแฝงภายใต้วัฒนธรรมการบริโภค โดยตัวศิลปินได้ใช้อาหารเป็นเสมือนสื่อ ที่ช่วยบ่งบอกเรื่องราว ความหมาย ความงามทางกายภาพ ความเป็นจริงที่เห็นและรับรู้ได้ จากสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริงทั่วไปในสังคม เพื่อสะท้อนทัศนคติส่วนตัวที่มีกับสังคมอุปโภค-บริโภคในปัจจุบัน


ห่อหมกปลาช่อน 155 x 195 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ

ในการสร้างสรรค์ผลงานของพีรนันท์นั้น มีมุมมองและวัตถุประสงค์เพื่อที่จะนำเสนอ เรื่องราว ความหมาย ที่เกิดขึ้นจากร่องรอย เศษ ชิ้นส่วน คราบเปื้อนของอาหารที่ปรากฏอยู่หลังจากผ่านการรับประทาน เพื่อให้เห็นภาพอดีตของอาหารนั้นๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็น สัจจะ และความเป็นไป ที่ปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการของผู้ดูตามแต่ประสบการณ์ทางการเห็น ทางความรู้สึกนึกคิดที่เป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล ที่มีต่ออาหารประเภทต่างๆ โดยศิลปินได้นำเสนอความงามในเชิงศิลปะของสิ่งใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน ที่แฝงไปด้วยเรื่องราว ความหมายที่มีนัยยะเกี่ยวกับชีวิต สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์

"อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่ถูกให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ จากความคิดที่ว่า อาหารช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายมนุษย์ให้เจริญเติบโต ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตรอด มนุษย์จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร อาหารบางประเภท คือส่วนจำเป็นในการดำรงชีวิต แต่มีอาหารอีกหลายประเภท ที่เป็น อดีตของสิ่งมีชีวิต ซึ่งถูกมนุษย์สรรหามาด้วยความอยาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ สามารถสะท้อนสัจจะ ความเป็นไปและพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ ช่วยกระตุ้นอารมณ์ ความรู้สึกที่เกี่ยวกับความจริงที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รูปธรรม แต่เป็นความจริงที่เกิดจากจินตภาพส่วนตัว ตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล จินตภาพเหล่านี้คือ เรื่องราว ความหมายที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ในสังคม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี"...พีรนันท์


ปลาดุกย่าง 155 x 200 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ
กระบวนการทำงานและแนวความคิดในเรื่องของเนื้อหาที่จะนำเสนอ ศิลปินพยายามที่จะให้ความสำคัญกับอารมณ์ของวัตถุ (อาหาร) ผนวกกับนัยยะ เรื่องราว ความหมาย โดยใช้การสำรวจหาข้อมูลที่มากพอที่จะกำหนดแนวความคิดของการสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานศิลปะ ด้วยการใช้วิธีสังเกตุลักษณะทางกายภาพของอาหารประเภทต่างๆ แล้วศึกษาในเชิงความหมายซึ่งมีอยู่ในอาหารบางประเภท เช่น เรื่องราวทางวัฒนธรรม ทางชนชาติ เชื้อชาติ รวมถึงการสำรวจอารมณ์ ความรู้สึกเบื้องต้นโดยใช้ตัวของศิลปินเองเป็นบรรทัดฐานกับอาหารบางประเภท อาทิ อาหารประเภทที่มีคราบไขมันสูง อาหารที่มีสีสันจัดจ้าน หรืออาหารที่มาจากสิ่งมีชีวิต


ห่อฟรอยด์ 155 x 180 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ

ต้มยำขาไก่ 155 x 195 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ

ปลาเผาเกลือ 130 x 155 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ

ซ๊กเล็ก 110 x 165 ซม.สีน้ำมันบนผ้าใบ

The last shelter of the country

The last shelter of the country
ร่มเงาสุดท้ายแห่งท้องทุ่ง
ผลงานจิตรกรรมแนวสัจจะนิยม (Super Realism) ชุด ร่มเงาสุดท้ายแห่งท้องทุ่ง (The last shelter of the country) โดย นักรบ กระปุกทอง เป็นชุดผลงานที่ศิลปินสามารถถ่ายทอด อารมณ์ ความรู้สึก ออกมาได้งดงามกว่าความเป็นจริงที่ตัวมันเองได้เปิดเผย ด้วยทักษะที่หาตัวจับยากและวิธีการผสมผสานภาพในหลายๆแง่มุม หลายๆปรากฏการณ์เข้าด้วยกัน ยิ่งถ้าเราได้เข้าไปสัมผัสกับชิ้นงานด้วยตัวเองแล้ว จะรู้สึกได้ถึงความจริงใจของตัวศิลปินที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวซึ่งเป็นผลกระทบต่อจิตใจของเขาออกมา นักรบได้แรงบันดาลใจที่เป็นที่มาของผลงานชุดนี้จาก ความกังวลใจในความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นเมื่อความเจริญของเมืองเริ่มแพร่ขยายเข้าสู่ท้องถิ่นที่ตัวศิลปินอยู่อาศัย จากการที่เห็นภาพถนนถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยกำลังของเครื่องจักรที่เร่งไล่ทำลายธรรมชาติ ความเคลื่อนไหวนี้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตแห่งผู้คนและวิถีชีวิตแห่งธรรมชาติที่เคยอยู่อย่างเรียบง่าย ตามอัตภาพ ผลข้างเคียงจากการพัฒนา คือ ความสงบ ความอบอุ่น ความงามที่เคยมีต้องถูกทำลาย
การสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ นักรบต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความหวงแหนที่ตัวเขามีต่อธรรมชาติและสิ่งดีงามที่มีในท้องถิ่น ที่นับวันยิ่งเปลี่ยนแปลง ผ่านการแสดงออกด้วยสัญลักษณ์และนัยยะทางวัตถุ เช่น ถนน คือสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นของการหลั่งไหลความเจริญจากเมืองสู่ท้องถิ่น พืชพันธุ์ต่างๆในธรรมชาติคือ สัญลักษณ์ของอุดมสมบูรณ์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชนบท โดยนักรบได้จัดวางวัตถุที่แตกต่างกันทางความหมายและรูปลักษณ์มาอยู่คู่กัน เพื่อแสดงความแตกต่างทางกายภาพ สภาวะ สถานภาพ ความเคลื่อนไหว และห้วงเวลาให้ปรากฏ เพื่อใช้สื่อความหมายและนำเสนอด้วยการแสดงออกผ่านอารมณ์ของภาพที่แฝงความนุ่มนวลผ่านความงามของพืชพันธุ์ที่ยังหลงเหลือท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการก่อสร้าง เพื่อแสดงออกถึงความตระหนักในสิ่งที่เกิดขึ้น โดยที่ตัวศิลปินเองก็ไม่สามารถทัดทานอำนาจของกระแสความเจริญที่ถาโถมเข้ามาสู่ท้องถิ่นตามกาลเวลาได้ แต่ทั้งนี้ ศิลปินก็ยังตระหนักอีกเช่นกันว่า "เขาก็ยังสามารถทำให้ผู้คนเห็นความงามในบางแง่มุมของสิ่งที่กำลังจะถูกลืม ถูกทำลาย เพื่อให้เกิดการระลึกถึงคุณค่าในความงามตามธรรมชาติและร่วมกันพิทักษ์สิ่งเหล่านั้นให้คงอยู่ในพื้นที่ในสัดส่วนที่เหมาะสมได้"...นักรบ
จากความสะเทือนใจของศิลปินที่ได้เห็นพื้นที่ทางการเกษตรถูกทำลาย ธรรมชาติถูกขับไล่รุกราน อันเป็นเสมือนแรงขับสำคัญทำให้ศิลปินเกิดแนวคิดที่จะถ่ายทอด สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก ที่เขามีต่อความขัดเเย้งที่เกิดขึ้นในเวลาและในสถานที่เดียวกัน คือ ระหว่างความสงบ ความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ที่เติบโตและเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าในพื้นที่ทางการเกษตรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กับสิ่งก่อสร้างที่รุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ กลายเป็นการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ที่ต้องแลกกับสิ่งดีๆดั้งเดิม
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า ผลงานของนักรบนั้น มีความพิเศษมากกว่าเพียงแค่ความเหมือนหรือความสวยงามที่ทำให้เราประทับใจ หลงใหลและทึ่งกับทักษะในขั้นต้น แต่ลึกลงไปแล้วยังแฝงไว้ซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกสะเทือนใจ จินตนาการและความดีงามจากความคิด ความจริงใจที่ศิลปินได้สอดแทรกและเปิดเผยดังที่ได้ปรากฏอยู่บนตัวผลงาน...




*หมายเหตุ ชื่อผลงาน ขนาด เทคนิคจะตามลงให้ในภายหลัง*

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Myth and belief in sacred objects in Buddhism

Myth and belief in sacred objects in Buddhism

มายาคติกับความเชื่อทางวัตถุในพุทธศาสนา


มายาคติ หมายเลข 6 (หน้ากาก) 150x150 ซม.

วัตถุต่างๆที่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับศาสนา ย่อมมีมายาคติเกิดขึ้นควบคู่กันไปเสมอ เพราะมายาคติ คือ “การสื่อความหมายด้วยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมแต่ถูกกลบเกลื่อนให้เป็นที่รับรู้เสมือนว่าเป็นธรรมชาติ" รวมถึงการทำงานของมายาคติ คือ “การเข้าไปครอบงำความหมายเชิงผัสสะและประโยชน์ใช้สอยของสรรพสิ่ง แล้วทำให้มันสื่อความหมายใหม่ในอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นความหมายเชิงค่านิยมและอุดมการณ์” แต่ทั้งนี้ ก็มิได้หมายความว่ามายาคติเป็นการโกหกหลอกลวงแบบปั้นน้ำเป็นตัวหรือการโฆษณาชวนเชื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริง มายาคติมิได้ปิดอำพรางสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกอย่างปรากฏต่อหน้าเราอย่างเปิดเผย แต่เราต่างหากที่คุ้นชินกับมันจนไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นสิ่งประกอบสร้างขึ้นทางวัฒนธรรม...”

จุดเริ่มต้นทางความคิดจากปรัชญาของ Roland Barthes ในเรื่อง มายาคติ (mythologies) ดังกล่าวเป็นที่มาของการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมสื่อประสมชุด มายาคติกับความเชื่อทางวัตถุในพุทธศาสนา โดย ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท ได้หยิบยกเอาเรื่องราว เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคติความเชื่อและมายาคติทางวัตถุ ทางพิธีกรรมในพุทธศาสนา มาอธิบาย เปรียบเทียบ โต้แย้งกับแนวคิดเรื่อง มายาคติ (ตามทฤษฎีของ Roland Barthes) ที่ครอบงำการสื่อความหมายในตัววัตถุจากคติความเชื่อ ค่านิยมและอุดมการณ์ โดยนำเอาปรัชญาของทั้งสองมาศึกษาถึง ความคิด-ความเชื่อ-ปรัชญา ในประเด็นของมายาคติกับความเชื่อทางวัตถุในพุทธศาสนา

ตัวผลงานจิตรกรรมถูกถ่ายทอดในแนวทางเหมือนจริง (Realism) โดยมีวิธีคิดและการนำเสนอในลักษณะของงาน Conceptual Art อันเป็นรากฐานสำคัญต่อความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน การประสมประสานของทั้งสองแนวงานทางศิลปะนี้ ศุภวัฒน์ได้ให้นิยามในผลงานของตัวเองว่าเป็นงาน Conceptual Painting ที่มีวิธีการสร้างสรรค์ทางจิตรกรรม (Painting) แต่มีวิธีคิด วิธีอ่าน วิธีแสดงตัวงานจิตรกรรมในลักษณะที่เป็นงานแนวความคิด (Conceptual Art)


มายาคติ หมายเลข 6 (หน้ากาก) 150x150 ซม.

แนวความคิดในการนำเสนอของศุภวัฒน์นั้น เป็นการสะท้อนมุมมองหนึ่ง ความคิดหนึ่ง ที่บุคคลใดก็ตามเมื่อตระหนักรับรู้ถึงจุดประสงค์และมายาคติของวัตถุ ของพิธีกรรมนั้นๆแล้ว ก็ไม่ควรไปยึดติดหรือหลง ถือเอาความเชื่อที่เป็นมายาคติครอบงำอยู่ผิวนอก (กระพี้) มาเป็นสาระสำคัญ เปลือกทางคติความเชื่อบางส่วนนี้นับได้ว่าอันตรายและเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจในเนื่อแท้ของสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เคยมองให้ลึกลงไปในเหตุของวัตถุ เหตุของการกระทำ เหตุของพิธีกรรมนั้นๆ โดยการทำความเข้าใจมองให้เห็นธรรมในพิธีกรรม มองให้เห็นธรรมในวัตถุ มองให้เห็นธรรมเป็นธรรมชาติ อันเป็นแก่นสารและเป็นเป้าหมายที่แฝงเร้นของในตัววัตถุและพิธีกรรมมากกว่าแค่ตัวมายาคติทางความเชื่อที่ครอบงำจนเกิดเป็นความเคยชิน เป็นกำแพงที่ขวางกั้นปัญญาและสุนทรีย์ในการทำความเข้าใจถึงนัยยะต่างๆที่ซ้อนเร้นอยู่ภายใน

ในการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้ ศิลปินมีความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ที่จะให้ผลงานเป็นสื่อสะท้อนไปให้เห็นถึง สาระที่จริงแท้ในตัวศิลปะวัตถุและพิธีกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยมุ่งหวังเพื่อการจรรโลงจิตใจให้ผู้คนหวนคิดถึงความจริงแท้ที่อยู่ลึกลงไปในตัววัตถุ ตัวพิธีกรรม อันเป็นสัจธรรม มีความบริสุทธิ์ด้วยตัวมันเองโดยมีคติความเชื่อหรือมายาคติบางส่วนที่เป็นสิ่งชักนำ ปูพื้นฐานในการทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่ลึกซึ้งขึ้นต่อไป




มายาคติ หมายเลข 3 120x120 ซม.

ทัศนะเบื้องต้นที่ได้กล่าวมา มีแนวความคิดที่ตั้งอยู่บนเจตนาดี มายาคติกับรูป-วัตถุในพุทธศาสนา ณ ที่นี้ มิได้ต้องการปฏิเสธหรือต่อต้าน วัตถุหรือพิธีกรรมต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต้องดำรงอยู่เพราะมีความสำคัญเปรียบเสมือนบันไดขั้นแรกที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น การนำเสนอในนัยยะของศุภวัฒน์นี้ เป็นการสะท้อนมุมมองและความคิดหนึ่ง ที่เมื่อบุคคลได้ตระหนักรับรู้ถึงมายาคติที่แฝงอยู่ในวัตถุ ในพิธีกรรมนั้นๆแล้ว ก็ไม่ควรไปยึดติดถือเอาความเชื่อนี้มาเป็นสาระสำคัญจนเกินไป แต่ควรมองให้ลึกลงไปถึงความจริงแท้ในตัววัตถุ ตัวพิธีกรรม

ทั้งนี้ ตัวศิลปินเองหวังว่าผลงานจะสามารถสะท้อน กระตุ้นเตือนในเรื่องของความงาม ความจริงแท้ต่อวัตถุต่างๆได้ นอกเหนือไปจากวัตถุที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งจะเป็นสิ่งดีที่ทำให้บุคคลมีความเข้าใจในเรื่องมายาคติที่ครอบงำการสื่อความหมายของสิ่งต่างๆได้อย่างลึกซึ้ง หลากหลาย สามารถนำความรู้และทัศนะ มุมมองในการมองวัตถุที่ได้จากผลงานไปประยุกต์ใช้ในการมองวัตถุ เหตุการณ์ต่างๆได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจในเนื้อแท้ของสารที่สื่อออกมา ไม่ว่าวัตถุนั้นๆจะถูกปรับเปลี่ยนที่อยู่หรือบทบาท หน้าที่ไปอย่างไรก็ตาม




มายาคติ หมายเลข 4 150 x 160 ซม.



มายาคติ หมายเลข 5 (ลบ รบ) 120x120 ซม.






มายาคติ หมายเลข 7 (ปัญญา) 160x160 ซม.





เก้าพระศก 140 x 140 ซม.




มายาคติ “ขัด” สมาธิ 140 x 140 ซม.

***หมายเหตุ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละชิ้นงานได้ที่***

***http://markhun22.blogspot.com***