The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"

The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "The way to Art" เส้นทางสู่ศิลปะ โดย นักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความรู้ความสามารถทางการศึกษาหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในระดับศิลปมหาบัณฑิต และในปี 2553 นี้ ภาควิชาได้คัดเลือกนักศึกษา 10 คน ได้แก่ นักรบ กระปุกทอง , รณชัย กิติศักดิ์สิน , เกรียงไกร กุลพันธ์ , สุเมธ พัดเอี่ยม , สุนทรี เฉลียวพงษ์ , พีรนันท์ จันทมาศ , วรรณพล แสนคำ , ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท , พิเชษฐ บุรพธานินทร์และวัลลภัคร แข่งเพ็ญแข อันมีผลงานการสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อตนเองและสภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญญาแห่งการเรียนรู้ และเป็นการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณะชน

THE WAY TO ART

นิทรรศการเส้นทางสู่ศิลปะ The way to art มีกำหนดการแสดงผลงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 4 ห้อง Stodio ในวันพฤหัสที่ 21 เมษายน ถึง วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต

ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต


การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม ลักษณะ Fantasy Style ชุด ภาษิตอีสานสู่จินตนาการชีวิต โดย เกรียงไกร กุลพันธ์ ศิลปินได้นำเอาแนวคิด คติธรรมจากสุภาษิตอีสาน ที่มีจินตนาการ สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิต ความสมดุลของธรรมชาติ การสมมุติให้สิ่งต่างๆดูเหมือนมีจิตวิญญาณ มีชีวิต มีความสัมพันธ์ขาดกันไม่ได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่นักปราชญ์โบราณได้กล่าวไว้ มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ให้ข้อคิดเป็นคติเตือนใจ โดยศิลปินได้แทนค่าความหมายในเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) และสื่อแทน (Representation) เพื่อส่งเสริมเนื้อหาและกระตุ้นให้ผู้ชมได้ตีความตามจินตนาการ ได้เรียนรู้วิถีแห่งธรรมชาติ อันเป็นตัวสานให้เกิดความเข้าใจในการดำรงชีวิต เป็นทัศนะที่สะท้อนความรู้สึกจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งเกรียงไกรได้นำมาผสมผสานกันกับเรื่องราวในปัจจุบัน โดยสื่อผ่านผลงานจิตรกรรมกับเทคนิคที่ซับซ้อนอันเป็นรูปแบบเฉพาะตัว

ด้วยความที่ศิลปินเติบโตในภาคอีสานได้เรียนรู้จากประเพณี 12 เดือน ของชาวอีสานหรือที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คองสิบสี่ ที่คนโบราณรู้คุณค่าของธรรมชาติ ดิน น้ำ ฟ้า ผืนป่า ต้นไม้ เห็นประโยชน์ของธรรมชาติ ซึ่งความรู้ ความเข้าใจเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเป็นวรรณกรรมคำสอน สอดแทรกกุศโลบายต่างๆ เป็นตัวสานที่ถ่ายทอดให้เกิดความเชื่อ ความเข้าใจในการที่จะดำรงชีวิต อยู่กับธรรมชาติ อยู่อย่างเกื้อหนุนกัน วรรณกรรมคำสอน หรือ สุภาษิตอีสาน เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีความเจริญในด้านศิลปะวัฒนธรรม ซึ่งภาษิตอีสานนี้สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท อาทิ คำกลอนภาษิต , ผะหญาภาษิต , สอย , หนังสือเจียง , กาพย์กลอน

"มนุษย์กับธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่อาจแยกออกจากกันได้ ร่างกายประกอบกับธาตุทั้ง 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ เหมือนกับพืชและสัตว์อื่นๆ รูปกายมนุษย์นี้ดำรงอยู่ได้โดยการแลกเปลี่ยน แร่ธาตุ กับสิ่งแวดล้อม ในขบวนการกิน ดื่ม ขับถ่าย หายใจออกและหายใจเข้า ดังนั้นมนุษย์กับธรรมชาติแวดล้อม จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่อดีตกาล มนุษย์ตระหนักในความสำคัญของความรู้ แสวงหา สร้างสรรค์ปัจจัยดำรงชีพและการดำเนินกิจกรรมสังคม มนุษย์พยายามเข้าใจธรรมชาติ เรียนรู้และหาวิธีที่จะอาศัยอยู่รวมกับธรรมชาติ แล้วถ่ายทอด เผยแผ่ความรู้ ความเข้าใจผ่านคติความเชื่อ วรรณคดีพื้นถิ่น ที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้มนุษย์ ผู้พึ่งพาธรรมชาติ เกรงกลัวธรรมชาติ เกรงกลัวต่อเทพผู้ปกปักรักษาพื้นที่นั้นๆเคารพและให้เกียรติต่อธรรมชาติ ธรรมชาติจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกปัจจุบัน"...เกรียงไกร

จากคติ แนวคิด ที่มาดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงานของเกรียงไกร โดยศิลปินได้นำเรื่องราว เนื้อหาจากภาษิตอีสาน เลือกเอาหมวดที่มีความหมายสอดคล้อง มีปฏิสัมพันธ์กับบทบาทในชีวิตประจำวัน ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดผลสะท้อนต่อชีวิตและจิตใจ อันมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มานำเสอ อาทิ ภาษิตจากวรรณกรรมประเภท "ผะหญา"(เป็นคำนามแปลว่าปัญญา ปรัชญา ความฉลาด เป็นคำพูดที่มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ให้ข้อคิดเป็นคติเตือนใจซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้นำไปปฎิบัติ) เช่น “เสือได้กินเนื้อเพื่อป่าไม้มีหนาม ไม้งามเพื่อมีเสืออยู่” หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เช่น เสือก็อาศัยป่า ป่าก็อาศัยเสือ เสือได้กินเนื้อเพราะมีป่า ป่าไม้ไม่ถูกทำลายเพราะคนกลัวเสือ...


*หมายเหตุ ชื่องาน ขนาด เทคนิค จะตามลงให้ในภายหลัง*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น