The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"

The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "The way to Art" เส้นทางสู่ศิลปะ โดย นักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความรู้ความสามารถทางการศึกษาหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในระดับศิลปมหาบัณฑิต และในปี 2553 นี้ ภาควิชาได้คัดเลือกนักศึกษา 10 คน ได้แก่ นักรบ กระปุกทอง , รณชัย กิติศักดิ์สิน , เกรียงไกร กุลพันธ์ , สุเมธ พัดเอี่ยม , สุนทรี เฉลียวพงษ์ , พีรนันท์ จันทมาศ , วรรณพล แสนคำ , ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท , พิเชษฐ บุรพธานินทร์และวัลลภัคร แข่งเพ็ญแข อันมีผลงานการสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อตนเองและสภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญญาแห่งการเรียนรู้ และเป็นการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณะชน

THE WAY TO ART

นิทรรศการเส้นทางสู่ศิลปะ The way to art มีกำหนดการแสดงผลงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 4 ห้อง Stodio ในวันพฤหัสที่ 21 เมษายน ถึง วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

“พื้นที่สมมุตชั่วนิรันดร์”

“พื้นที่สมมุตชั่วนิรันดร์”

สถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ถูกกำหนดให้มีหน้าที่และประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน เราสามารถอาศัยและประกอบกิจกรรมในพื้นที่ภายในและภายนอกสถาปัตยกรรมได้ เวลามองสถาปัตยกรรม เราเห็นความทึบตัน (Solidity) ของรูปทรงของตึก แต่เมื่อเดินเข้าไปภายใน เราจึงจะเห็นความเป็นโพรงหรือห้อง (Cavity) หลายๆห้องที่เชื่อมต่อกัน จากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่งในระดับชั้นเดียวกันและอีกชั้นหนึ่งที่สูงขึ้นไป

รอบๆนอกอาคาร เราสามารถเห็นกิจกรรมของผู้คนที่สอดคล้องสัมพันธ์กับกิจกรรมภายในอาคาร เช่น อาคารของโรงเรียน กิจกรรมข้างใน คือ การเรียนหนังสือ และกิจกรรมนอกอาคาร คือ การวิ่งเล่นในสนามหญ้าของนักเรียน ถ้าเราลองมองมุมที่กว้างมากขึ้นไปอีกนิด เราจะเห็นอาคารอื่นๆที่อยู่รอบๆ เช่น เราอาจจะเห็นโรงพยาบาล ตลาด ศูนย์การค้า และอื่นๆ กิจกรรมต่างประเภทที่เกิดทั้งภายในและภายนอกอาคารเหล่านี้เชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น หลังจากเลิกเรียนเราอาจจะเเวะซื้อของที่ศูนย์การค้าหรือตลาดโต้รุ่ง เพราะฉะนั้น งานของสถาปนิกไม่ได้อยู่ที่การออกแบบอาคารเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดถึงความต้องการของคนใช้อาคาร ความสัมพันธ์ของคนระหว่างอาคาร การเดินทางระหว่างอาคาร เพื่อทำให้คนชุมชนได้ประกอบกิจกรรมที่ต้องการ และมีโอกาสเชื่อมสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ภายในผังเมืองที่ได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ

เราลองมาดูวัสดุที่ใช้สร้างสถาปัตยกรรมสักนิดหนึ่ง เราสามารถแยกแยะความรู้สึกได้ว่า มันให้ความรู้สึกของความหนัก หรือ ความเบาได้ด้วยตาเปล่า ตัวอย่างเช่น กำแพงเมืองจีนที่ทำด้วยหินก้อนขนาดใหญ่ พื้นผิวหยาบ มีสีน้ำตาล เรียงต่อกัน เราสามารถรับรู้จากลักษณะทางกายภาพของวัสดุ และตำแหน่งที่ตั้งของกำแพงนี้ได้ว่า ผู้สร้างต้องใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อลำเรียงหินมาที่สถานที่ก่อสร้าง และต้องใช้เวลาแรมปีในการสร้าง (พ.ศ. 338 – 2163) ในขณะที่กำแพงก่ออิฐฉาบปูน พื้นผิวเรียบ สีขาว ที่เราเห็นในเมืองใหญ่ๆ เรารับรู้ได้ว่า การก่อสร้างไม่ใช่เรื่องที่ลำบาก เราสามารถหาซื้อวัสดุจากร้านวัสดุทั่วไป ใช้แรงงานน้อยกว่า และใช้เวลาสั้นกว่ามาก กล่าวโดยรวมวัสดุสามารถทำให้เรารู้สึกถึงความหนัก และความเบาของสิ่งก่อสร้างทางสถาปัตยกรรมได้

ก่อนที่จะนำข้อมูลจากด้านบนมาอ่านงานจิตรกรรมของพิเชษฐ์ เรามาทำความเข้าใจเงื่อนไขของจิตรกรรมเสียก่อน จิตรกรรมเป็น illusion หรือภาพที่แสดงความลวงอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องแยกระหว่างประสบการณ์ที่เรามีต่อสถาปัตยกรรมตามจริง และประสบการณ์ที่เรามีต่อภาพสถาปัตยกรรมบนงานจิตรกรรมของพิเชษฐ์ เราสามารถอ่านงานได้ดังนี้

ประการแรก โครงสร้างและวัสดุ ภาพแสดงให้เห็นการล้มของระบบโครงสร้างของอาคาร และระบบโพรงภายใน เราไม่เห็นความชัดเจนของรูปทรงของสถาปัตยกรรม แต่เห็นภาพของวัสดุก่อสร้างที่ถูกทำลาย เสียหาย และกองอย่างระเกะระกะ ภาพจิตรกรรมโดยรวมให้ผลทางสายตา (visual effect) ในเรื่องของรูปร่าง พื้นผิว สี ระนาบ และพื้นที่ แต่ไม่ให้ผลทางสายตาในเรื่องของความหนัก หรือความเบา หนึ่งในคุณสมบัติที่แท้จริงของโครงสร้างและวัสดุ ทัศนธาตุที่ให้ผลทางสายตานี้ถูกนำมาจัดองค์ประกอบ เป็นงานจิตรกรรมที่อ้างถึงภาพเหตุการณ์ที่พิเชษฐ์ประสบมา

ประการที่สอง เงื่อนไขของจิตรกรรมบอกเราว่า การล้มและพังครืนของสถาปัตยกรรมขาดความเป็นจริงทางโลก มันเป็นการถ่ายทอดและตีความตามประสบการณ์ทางสายตาของศิลปิน ถ้าเช่นนั้น เราจะต้องไม่อ่านการล้มและพังครืนในลักษณะที่ตามความเป็นจริงทางโลก แต่จะต้องอ่านมันในฐานะที่เป็น Subject ของจิตรกรรมชุดนี้ Subject นี้ทำให้เราหยุดกะทันหัน เราหยุดที่จะอ่านสถาปัตยกรรมด้วยความรู้และประสบการณ์เดิม เช่น ความรู้เดิมบอกเราว่า ถ้าเมืองทั้งเมืองถูกทำให้ล้มครืน ระบบต่างๆของเมือง เช่น ระบบคมนาคม ระบบเศรษฐกิจ และระบบสาธารณูปโภค ก็ต้องเสียหาย และไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาอีกภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ในกรณีนี้ จิตรกรรมกระตุ้นให้เราอ่านว่า ไม่มีเหตุการณ์ในอดีตและอนาคตให้กับภาพ การล้มครืนมีภาวะชั่วกัปชั่วกัลป์ กาลเวลาถูกยืดออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จินตนาการที่เรามีต่ออนาคตของสถาปัตยกรรมเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่เคยมาถึง

ประการสุดท้าย กรอบงานจิตรกรรมที่ไม่ได้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าในลักษณะธรรมเนียมปฏิบัติอีกต่อไป สมัย Renaisannce สถาปนิกและจิตรกรมักจะใช้อัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) 1 ต่อ 1.6180339887...โดยประมาณ ในการคำนวนสัดส่วนของผลงาน รวมไปถึงกรอบภาพจิตรกรรมด้วย Steen Eiler Rasmussen (1982) กล่าวว่า “อัตราส่วนของเรขาคณิตที่มีระบบที่กระจ่างทำให้จิตวิญญาณสงบสุข [1] เพราะฉะนั้นกรอบภาพที่ใช้อัตราส่วนทองคำช่วยสนับสนุนให้คนดูมีสมาธิ ในขณะที่อ่านเนื้อหาที่ศิลปินนำเสนอ เมื่อกรอบภาพของพิเชษฐ์ไม่ได้ถูกสร้างในลักษณะธรรมเนียมปฏิบัติ มันขยายในทิศทางที่ไม่ได้ขนานกับพื้นโลก เฉียง เอียง และมีกรอบย่อยที่ประกอบกันมากกว่าหนึ่งกรอบ บางกรอบก็เป็นรูปร่างของมันวัสดุที่เสียหาย บางกรอบก็มีลักษณะเป็นภาพที่ถูกตัดบางมุมออกไป อัตราส่วนของกรอบของพิเชษฐ์ถูกคำนวณมาจากความระเกะระกะของวัสดุก่อสร้างที่ได้จากประสบการณ์จริง เพราะฉะนั้นการคำนวณอัตราส่วนของกรอบจึงเกิดจากการพังครืนของอาคารนั่นเอง ซึ่งมีผลทำให้จิตรับรู้ของคนดูไม่สงบ ในทัศนะของดิฉัน กรอบภาพจิตรกรรมได้แสดงให้เห็นโลกที่เสมือนพังทลายลงมา เรารู้ว่ามันไม่จริง แต่มันทำให้เราในฐานะผู้ชมรู้สึกไม่สงบเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าพื้นที่สมมุติบนจิตรกรรมที่มีภาวะชั่วกัปชั่วกัลป์

Text : ดร.เตยงาม คุปตะบุตร,

[1] Rasmussen, Steen Eiler. 1982. Experiencing Architecture (Cambridge: The M.I.T. Press) p.104

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น