“สิ่งนั้น”
สุเมธนำเสนอสิ่งที่บางคนอาจจะไม่มีโอกาสเห็นได้บ่อยๆได้ในชีวิตประจำวัน มันเป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ลึกลงไป มันอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความน่าพิศวง ลึกลับ และน่ากลัว เจ้าสิ่งๆนั้น มีขนาดเล็ก ในยามค่ำคืน ก็หลบซ่อนตัวในกลีบแห่งความมืด ในยามเช้า แสงแดดส่อง ก็เฉิดฉายอวดสีเรืองแสง สุเมธเห็นมิติแห่งความเย้ายวน น่าสัมผัส เขาจึงได้ขยายเจ้าสิ่งๆนั้นให้ออกมาเป็นภาพขนาดใหญ่ เราสามารถเห็นเรือนร่างบางส่วนของมันอย่างชัดเจน มันใสวาว มีสีน้ำเงิน ม่วง ชมพู พองตัว ดูราวกับว่าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ บางส่วนเป็นซอกหรือช่องลึกลงไป มองเห็นไม่ถนัด เขาปล่อยให้คนดูจินตนาการต่อ โดยที่ไม่บอกว่าเจ้าสิ่งๆนั้น คืออะไรที่แน่ชัด
ในทางกายภาพ เราเห็นรูปทรงอินทรีย์ของดอกไม้ทะเล (สัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง) สุเมธย้ำว่า เขาเปิดอิสระให้ผู้ชมได้จินตนาการในสิ่งที่เห็นบนงานจิตรกรรม นั่นหมายความว่า ประการแรก เขาอยากให้ผู้ชมไม่หยุดอยู่ที่ภาพตามที่ตาเห็น และ ประการที่สอง เขายินดีที่ดิฉันจะอ่านและจินตนาการรูปทรงอินทรีย์ให้เป็น “ภาพตัวแทน” (representation) ของ “เจ้าสิ่งๆนั้น”
คำว่า representation สามารถแยกออกได้เป็น 2 คำ คือ re ซึ่งแปลว่า ทำซ้ำ และ present ซึ่งแปลว่า ความเป็นปัจจุบัน เมื่อเอามารวมกัน มันจึงมีความหมายว่า “บางสิ่งไม่ปรากฏอยู่ตรงนั้น แต่กลับต้องทำให้ปรากฏ เพราะฉะนั้น สิ่งที่นำมาเสนอจึงเป็นของใหม่ที่ไม่ใช่ของเดิม... ดังนั้น การเผชิญกับ representation จึงไม่ใช่การเผชิญกับ ‘ความจริง’…” [1] อาจกล่าวได้ว่า ดอกไม้ทะเล เป็นสิ่งที่สุเมธนำมาเสนอ แต่มันไม่ใช่ความจริง มันคือภาพตัวแทนสิ่งๆนั้น ที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเราในขณะนี้
ขนาดภาพที่ใหญ่ทำให้การ “มอง” ของเราทำงาน ขณะอยู่ที่หน้าภาพ เรากำลังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งของสุเมธ สุเมธกำลังมองสิ่งๆนั้น เรากำลังมองภาพตัวแทนของสิ่งๆนั้น การมองเป็นกลไกที่สำคัญ การมองทำเรารู้จักความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน การมองนำไปสู่ความพึงพอใจและอารมณ์สุนทรียะ การมองเจ้าสิ่งๆนั้นเป็นกลไกในการสร้างความเป็นชาย และยิ่งถ้ามองร่วมกันเป็นกลุ่ม เท่ากับเป็นการเปิดทางให้กับ “พิธีกรรม” ของความเป็นชาย [2]
การสนใจและนำเสนอในเจ้าสิ่งๆนั้นในงานทัศนศิลป์ของสุเมธ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฏธรรมชาติ และจริยธรรม อย่างแยกไม่ออก เรามีกฎธรรมชาติร่วมกันอยู่ว่า ถ้าหากปราศจากการมองและการกระทำของผู้ชายกับเจ้าสิ่งๆนั้น มนุษย์จะน้อยลง เกิดปัญหาการขาดประชากรในโลกได้ ถ้ามากเกินไป หรือ ผิดประเภท ปัญหาที่น่าปวดหัวก็จะตามมา ในกรณีหลัง มนุษย์ก็อยากควบคุม โดยเห็นว่าอารยธรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมเรื่องเพศได้ สังคมไทยเป็นสังคมพุทธศาสนา เรามีกฎจริยธรรม เป็นตัวควบคุมพฤติกรรม และมีธรรมะ เป็นเครื่องชี้ทางออกทางเพศที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ปรากฏในสังคมไทยในปัจจุบัน คือ คนประพฤติผิดในกามอย่างเปิดเผยมากขึ้นและแยแสกับเรื่องจริยธรรมน้อยลง เพศเป็นเรื่องสกปรก ต้องห้าม เพราะฉะนั้น การที่สุเมธเสนอภาพตัวแทนของเจ้าสิ่งๆนั้น อาจเป็นเพราะ บริบทของสังคมรอบข้างที่ทำให้เรื่องเพศเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ ไม่ควรนำเสนออย่างตรงไปตรงมา ต้องควบคุม และอาจเป็นเพราะ การปฏิบัติศิลปะทำหน้าที่คล้ายการปฏิบัติเชิงจริยธรรม เป็นทางออกอย่างหนึ่งให้กับการแสดงออกถึงอารมณ์สุนทรียะที่ได้จากการมอง
สังคมไทยอาจจะพูดคุยถึงเรื่องเพศอย่างระมัดระวัง ขอเสนอข้อมูล 2 ชิ้นที่สัมพันธ์กับสิ่งๆนั้น ในสมัยที่มันเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นเรื่องที่ไม่น่ารังเกียจ อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานาวา ได้อธิบายว่า
ข้อมูลแรก
สิ่งๆนั้น ในภาษาสันสกฤต ตรงกับคำว่า โยนี มีความหมายเหล่านี้ผสมผสาน : ความเป็นสัตว์ หัวใจ อัตตาที่แท้จริง ความเจิดจ้า การรักษา ความรัก ความต้องการหรือตัณหา จิตสำนึก แสงที่โชติช่วง ความเจ็บปวด ความเศร้า ดอกบัว ความเป็นแม่ ประจำเดือน ร่างกายที่เปล่าเปลือย ความว่าง และมุก
ข้อมูลที่สอง
ลำดับของโยนีในสังคมอินเดียซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ชั้นได้แก่ ปัทมณี, จิตราณี, ฉันคิณี และหัสนี ซึ่งจะอธิบายเพียงสองชั้นแรกเพื่อให้ได้เห็นภาพ
๑. ปัทมณี หรือ บัวหญิง มีลักษณะคล้ายดอกไม้ และจะมีความสุขกับการได้รับแสงอาทิตย์และมือที่แข็งแกร่ง น้ำจากช่องสังวาสมีกลิ่นเหมือนดอกบัวบาน
๒. จิตราณี หรือผู้หญิงที่ดูหรูหรา มีลักษณะกลมๆและนุ่ม น้ำหล่อลื่นหลั่งออกมาง่าย มีขนไม่ดก น้ำของผู้หญิงมีความร้อนเป็นอย่างมาก มีกลิ่นหอมหวานและมีรสคล้ายน้ำผึ้ง
ข้อมูลแรกและข้อมูลที่สอง แสดงให้เราเห็นว่า ในอารยธรรมอื่น การพูดถึงโยนีไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอย่างหลบๆซ่อนๆ และไม่ใช่เรื่องที่หยาบคาย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่มีจินตนาการเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่า อารยธรรมอินเดียยกย่องอวัยวะเพศ มันเป็นการยอมรับรูปแบบของความเป็นอมตะของมัน ซึ่งมีบทบาทสองประการ คือการสืบพันธุ์ และมีไว้ติดต่อกับเทพเจ้า คำว่า โยนี เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย นัยยะเชิงอารยธรรมของมัน ถูกลดความหมายเหลือเพียง “อวัยวะที่ลับของหญิง” สถานการณ์ของเจ้าสิ่งๆนี้ในเมืองไทย ก็เลยกลายเป็นสถานการณ์ลับตามไปด้วย[3]
สถานการณ์ลับของโยนีในสังคมไทย มีส่วนทำให้สถานการณ์ทางทัศนศิลป์ของสุเมธมีความซับซ้อน จริยธรรมบอกกับศิลปินว่า การพูดและการเขียนภาพถึงอย่างตรงไปตรงมาอาจจะเป็นเรื่องที่ยังไม่ถึงเวลา ดิฉันเห็นว่า การเขียนภาพตัวแทนเป็นก้าวแรกของทางออก ทางออกสายนี้สุเมธยังเดินไปได้อีกยาวไกล ดิฉันคาดหวังว่า ในอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นภาพตัวแทน ที่มีความหมายที่ลุ่มลึก มีจินตนาการ มีความเจิดจ้า มีแสงที่โชติช่วง มีหัวใจ และมีความว่าง มากขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น