ภาพจิตรกรรมเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า มนุษย์มี “ภาพข้างใน” และมนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาวิธีสื่อภาพข้างในให้ผู้อื่นได้รับรู้ ในสังคมปัจจุบัน เราอาจจะมองว่า ภาพจิตรกรรมร่วมสมัยเป็นเรื่องสร้างสรรค์เฉพาะบุคคล แต่สำหรับมนุษย์ในสังคมโบราณแล้ว การสื่อสารด้วยภาพจิตรกรรมนำไปสู่รูปแบบการแสดงออกทางสังคมที่มีความสลับซับซ้อนได้[1] หรืออีกนัยหนึ่ง ภาพจิตรกรรมกระตุ้นให้เกิดกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ในสังคม
ฮูปแต้ม เป็นภาษาอีสาน หมายถึง จิตรกรรม ช่างแต้มจะวาดฮูปแต้มบนผนังด้านนอกและด้านในของสิม (โบสถ์) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้คนได้ทัศนาและทราบซึ้งกับเนื้อหาบนฮูปแต้มอย่างทั่วถึง เรื่องหลักที่ช่างแต้มเขียนคือผะเหวด (พระเวสสันดร) เรื่องอื่นๆที่เขียนกันบ้างได้แก่ พระมาลัย, พระลัก-พระลาม (รามเกียรติ์), และวรรณกรรมพื้นบ้าน นอกจากนี้ ฮูปแต้มยังแฝงไปด้วยภาพวิถีชีวิตในอดีต เช่น นาคและพิธีกรรมขอฝน พิธีฮดสรงและกลยุทธ์ในการทำชายเป็นคนสุก และ เปรตกับการปฏิบัติตามทำนองคลองธรรม ฮูปแต้มเป็นเครื่องมือเผยแพร่ธรรมะในยุคสมัยที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ รวมไปถึงมีเอาไว้เตือนสติให้ประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม อาจกล่าวได้ว่า ฮูปแต้มทำหน้าที่เสมือนข้อตกลงทางสังคมในเรื่องพฤติกรรมส่วนบุคคลและส่วนรวมที่ควรและไม่ควรปฏิบัติ ฮูปแต้มกระตุ้นให้มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ และ ดำรงสังคมอีสานของตนไว้อย่างเรียบง่ายและมีสุนทรียะ
เกรียงไกร ลูกอีสาน สร้างสรรค์จิตรกรรมร่วมสมัย โดยผสมผสานลักษณะการเขียนแบบฮูปแต้ม กับ ผญา หรือ คำคมสุภาษิต ผญา มีลักษณะเป็นความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจจะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้ เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบสติปัญญา มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กินใจความมาก เกรียงไกรเห็นว่า แม้ผญาจะเป็นวัฒนธรรมเก่า แต่เนื้อหาของผญาไม่ได้ล้าสมัย เขาใช้ผญาในการสะท้อนสถานการณ์ในเวลาปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ที่คนไม่เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน คำคมสุภาษิตในรูปจิตiกรรมเริ่มขยับทำหน้าที่เป็นกรอบในการวิจารณ์สังคม
การแปลผญาให้ออกมาเป็นภาษาภาพ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน มันเป็นการเปลี่ยนระบบภาษาพูด ให้ออกมาเป็นภาพภายใน และหาวิธีการสร้างสรรค์ในการทำให้มันออกมาเป็นภาพที่ตามองเห็นได้ จิตรกรรมของเกรียงไกรได้แสดงเห็นว่า เขามีภาพภายในและได้ประยุกต์ฮูปแต้มเป็นเครื่องมือในการยืนยันถึงการมีอยู่จริงของภาพ ประเด็นที่น่าสนใจของจิตรกรรมมีอยู่สามประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก - การเปลี่ยน linear syntax ให้เป็น non-linear syntax linear syntax คือ โครงสร้างประโยคหรือไวยากรณ์ของภาษาที่มีลักษณะเวลายาวต่อเนื่องเป็นเส้นตรง การพูดผญาถือว่า linear syntax ถึงแม้ว่าผญาจะไม่มีรูปแบบและไวยากรณ์ที่ตายตัว แต่ก็เป็นการพูดสื่อความหมายที่ผู้รับในกลุ่มเข้าใจได้ ฮูปแต้มมีลักษณะที่คล้ายและต่างจากการพูดผญา กล่าวคือ ฮูปแต้มมีองค์ประกอบที่เรียบง่าย เป็นชั้นแนวนอน คล้ายการอ่านเรียงบรรทัด ตรงนี้มีลักษณะคล้าย linear syntax แต่เมื่อมองโดยภาพรวม สายตาของเรากวาดมองไปรอบๆ จะเริ่มอ่านจากตรงไหนก็ได้ non-linear syntax คือ โครงสร้างของภาพที่เวลาไม่ได้เรียงตัวเป็นเส้นตรง ก็เริ่มทำงาน เมื่อเปรียบเทียบกับจิตรกรรมของเกรียงไกร องค์ประกอบที่เริ่มจากตรงกลางและขยายตัวออกไปรวบๆ จุดกลางของความสนใจ มักจะเป็นรูปต้นไม้ ที่มีคน, สัตว์, สัตว์ในวรรณกรรม, และสัตว์ผสมคน อยู่รายรอบต้นไม้นี้ ด้วยองค์ประกอบแบบนี้ ภาพจึงมีลักษณะเป็น non-linear syntax คนดูต้องทำความเข้าใจตัวละคร หาเหตุผลในการเชื่อมโยง เพื่อจะสร้างโครงสร้างใหม่ในการอ่าน และมีความเป็นไปได้ว่า องค์ประกอบแบบนี้ แสดงให้เห็นนัยยะของความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมในเวลาปัจจุบัน ที่แตกต่างจากเวลาของฮูปแต้มอย่างสิ้นเชิง
ประการที่สอง – ความหมายแบบพหุพจน์ (multiple meanings) การที่คนดูได้รับอิสระในการผูกเรื่อง และตีความหมายเอาเอง นั่นหมายความว่า ความถูกต้องของเนื้อเรื่องไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ ตรงนี้ต่างจากฮูปแต้มที่มีวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดรอไว้ที่ปลายทางแล้ว แล้วเช่นนั้นเล่าอะไรคือสาระสำคัญ? การที่ตัวละครในจิตรกรรมร่วมสมัยมีหลายความหมาย เช่น ปลาหน้าคน อ้างถึงทั้งสุภาษิตเดิม และนักการเมืองและอำนาจมืดในเวลาปัจจุบัน วัตถุประสงค์ปลายเปิดเช่นนี้นำไปสู่อะไร? เราอาจจะต้องพิจารณาความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ฮูปแต้มสร้างขึ้นในเวลาที่คนไม่รู้หนังสือ ส่วนงานจิตรกรรมของเกรียงไกรอยู่ในเวลาที่คนอ่านออกเขียนได้ การพาชาวบ้านไปสู่วัตถุประสงค์ของฮูปแต้มต้องอาศัยคนกลาง คือ พระ ในการอธิบายถึงความหมายที่ถูกบรรจุเอาไว้ สิ่งที่เกรียงไกรไม่ได้เอามาในเวลาปัจจุบัน คือ ระบบของการอธิบายนอกภาพ (การขาดคนยืนอธิบาย) ทฤษฎีร่วมสมัยบอกเราว่า จิตรกรรมเมื่อเสร็จเป็นอิสระจากผู้สร้าง และเปิดรับการตีความที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นการทำให้ภาพเกิดความหมายแบบพหุพจน์ดูเหมือนจะสอดคล้องกับระดับความสามารถทางภาษาของคน และบริบทของทัศนศิลป์สมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อศิลปินก้าวข้ามจากวัฒนธรรมอีสานมาสู่วัฒนธรรมจิตรกรรมร่วมสมัย ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนและยอมรับเงื่อนไขเบื้องต้นของระบบใหม่ที่เข้าไปอยู่ ประเด็นนี้นำไปสู่การพิจารณาสุดท้าย
ประการที่สาม - สืบสาน ส่งต่อ เปลี่ยนแปลง : สุนทรียะและทางเลือกใหม่ การข้ามจากวัฒนธรรมอีสานมาสู่วัฒนธรรมจิตรกรรมร่วมสมัย การข้ามจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน การข้ามจากศิลปะชุมชนมาสู่ศิลปะร่วมสมัยแบบปัจเจก แสดงให้เห็นว่ากระบวนสืบสาน ส่งต่อ และเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมอีสาน เกรียงไกรบอกดิฉันว่า ผญาสามารถโน้มนำไปสู่สังคมที่ดีได้ จากการพูด ดิฉันรับรู้ได้ทันทีว่า มันเป็นความเชื่อที่เกรียงไกรได้รับมาแต่เล็กแต่น้อย ความเชื่อนี้นำไปสู่รูปแบบพฤติกรรมและการกระทำ ทำให้เกรียงไกรอยากสืบสาน และส่งต่อสิ่งดีงามที่เขาได้รับมา สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้เกรียงไกรสร้างสิมและฮูปแต้มในรูปแบบเมื่อ 100-250 ปีที่ผ่านมา ระบบใหม่ที่เป็นไปได้ คือ จิตรกรรมร่วมสมัย แม้ว่าระบบนี้ทำให้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงและหล่นหายไปในระหว่างทาง แต่มันก็เป็นระบบที่เอื้ออำนวยทำให้เกิดการถ่ายเททางวัฒนธรรมที่ไม่ทำให้ฮูปแต้มสูญหาย เราอาจกล่าวได้ว่า ฮูปแต้มเป็นแรงบันดาลใจให้เกรียงไกรเกิดกระบวนการส่งต่อ “ภาพของสุนทรียะแห่งจิตวิญญาณของศิลปวัฒนธรรมอีสาน” ในรูปแบบของจิตรกรรมร่วมสมัย และจิตรกรรมร่วมสมัยของเกรียงไกรก็ได้ทำหน้าที่เช่นเดียวกัน คือ ส่งต่อ “ภาพสุนทรียะแห่งจิตวิญญาณนั้น” สู่เราผู้ชมและคนรุ่นต่อไปในอนาคต ดิฉันเชื่อว่า จิตรกรรมเป็นทางเลือกใหม่ให้กับฮูปแต้ม และรวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมอื่นๆที่กำลังจะสูญหายด้วยเช่นกัน
[1] Whitten, Dorothea S., and Whitten, Norman E. ed., 1993. IMAGERY & CREATIVITY: Ethnoaesthetics and Arts Worlds in the Americas (Tuscon & London: The University of Arizona Press) p. 7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น