The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"

The way to art "เส้นทางสู่ศิลปะ"
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย "The way to Art" เส้นทางสู่ศิลปะ โดย นักศึกษาปริญญาโท สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการแสดงความรู้ความสามารถทางการศึกษาหลังจากที่ได้เข้ามาศึกษาในระดับศิลปมหาบัณฑิต และในปี 2553 นี้ ภาควิชาได้คัดเลือกนักศึกษา 10 คน ได้แก่ นักรบ กระปุกทอง , รณชัย กิติศักดิ์สิน , เกรียงไกร กุลพันธ์ , สุเมธ พัดเอี่ยม , สุนทรี เฉลียวพงษ์ , พีรนันท์ จันทมาศ , วรรณพล แสนคำ , ศุภวัฒน์ วัฒนภิโกวิท , พิเชษฐ บุรพธานินทร์และวัลลภัคร แข่งเพ็ญแข อันมีผลงานการสร้างสรรค์ที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อตนเองและสภาพสังคมในปัจจุบัน ปัญญาแห่งการเรียนรู้ และเป็นการเผยแพร่ผลงานที่มีคุณค่าออกสู่สายตาสาธารณะชน

THE WAY TO ART

นิทรรศการเส้นทางสู่ศิลปะ The way to art มีกำหนดการแสดงผลงาน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 4 ห้อง Stodio ในวันพฤหัสที่ 21 เมษายน ถึง วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

The camera can lie.


The camera can lie.

The camera cannot lie แปลเป็นภาษาไทยไทยได้ว่ากล้องถ่ายรูปโกหกไม่ได้ ภาพถ่ายเป็นการแสดงของสิ่งที่กล้องถ่ายรูปบันทึกอย่างซื่อสัตย์และถูกต้องในลักษณะที่จิตรกรรมทำไม่ได้ ความเข้าใจข้างต้นนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1895 Nebraska Lincoln ได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ The Evening News ว่า ช่างภาพ โดยเฉพาะมือใหม่ สามารถบอกได้อย่างทันทีว่ากล้องถ่ายรูปโกหกไม่ได้ Lincoln ต้องการชี้ให้เห็นว่า ภาพถ่ายเป็นสื่อที่เราสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นผลที่เกิดจากการบันทึกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตามความเป็นจริง โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เชิงลึก

ต่อมาในศตวรรษที่ 20 Marshall McLuhan (1911-80) ได้ทำให้เราตระหนักรู้ว่า ภาพถ่ายที่เราคิดเพียงว่า มันแค่เสนอความเป็นจริง กลับแสดงบทบาทใหม่ คือส่งผลกระทบต่อวิธีการรับรู้, ภาษา, และกระบวนการทางความคิดของเราเช่นในกรณีที่เราต้องการอธิบายถึง Grand Canyon ในสหรัฐอเมริกา ให้ออกมาเป็นภาษาเขียน/พูด เพื่อทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสเห็นได้เข้าใจ เราอาจจะต้องใช้เวลาหลายนาทีในการคิดหาคำอธิบาย แต่ภาพถ่ายเพียงใบเดียวสามารถอธิบายถึง Grand Canyon ได้เกือบครบถ้วนภายในไม่กี่วินาที จึงไม่น่าแปลกที่การรับรู้ ภาษา และกระบวนการทางความคิดของเรา (ในฐานะผู้รับสาร) ที่มีต่อ Grand Canyon จะเกิดจากภาพถ่ายเป็นสำคัญ

ภาพถ่ายได้ทำให้คนหลายๆอาชีพ เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง เช่น กวีและผู้ประพันธ์นวนิยายเกรงกลัวว่า ภาพถ่ายจะทำหน้าที่แทนภาษา รวมไปถึงจิตรกรด้วยเช่นกัน ภาพถ่ายสามารถทำหน้าที่ถ่ายทอดความเป็นจริงได้ดียิ่งกว่าจิตรกรรม จิตรกรในกลางค่อนปลายศตวรรษที่ 19 ถึงศตวรรษที่ 20 จึงหาหนทางใหม่ โดยหันไปทำงานและเผยให้เห็นกระบวนการสร้างสรรค์และการแสดงออกภายใน ในลักษณะของศิลปะนามธรรมแทน ในบางกรณี ศิลปินได้ออกแบบให้คนดูเข้ามามีส่วนร่วมกับการสร้างสรรค์ผลงาน ลักษณะอย่างนี้ จิตรกรยังถือว่ากล้องถ่ายรูปทำไม่ได้ จิตรกรรมและภาพถ่ายในสมัยนั้น จึงสามารถแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน

ต่อมาช่างภาพเลือกมุมกล้องที่ทำให้ความเข้าใจของเหตุการณ์คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เทคโนโลยีแบบดิจิตอลสามารถปรับแต่งภาพถ่ายให้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากต้นฉบับ ทัศนะที่ว่า กล้องถ่ายรูปโกหกไม่ได้ ถูกทำให้สั่นคลอน ภาพถ่ายสามารถปรับ แต่ง เสริมความเข้าใจของเราให้ออกห่างจากความเป็นจริง และนำเราเข้าสู่ภาวะความเข้าใจแบบใหม่ ที่ท้ายสุด นำไปสู่ความพร่าเลือนของขอบเขตระหว่างจิตรกรรมและภาพถ่าย

นักรบได้ท้าทายคนดูใช้วิจารณญาณเพื่อทำความเข้าใจความพร่าเลือนระหว่างจิตรกรรมและภาพถ่าย นักรบเล่าให้ฟังว่า การรุกรานของคนเมืองในพื้นที่ชนบทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและขยายเป็นวงกว้าง ภาพถ่ายเพียงภาพเดียวไม่อาจจะบอกเล่าถึงสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นนักรบจึงปรับเปลี่ยนและเพิ่มทัศนธาตุในภาพถ่ายต้นฉบับที่เขาไปถ่ายจากสถานที่จริง เพื่อสร้างองค์ประกอบใหม่ให้กับงานจิตรกรรมของเขา เพื่อที่จะเล่าถึงการรุกรานนี้ได้อย่างครอบคลุม แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำให้สิ่งที่ปรากฏอยู่บนภาพ เช่น บ้าน สิ่งก่อสร้างทันสมัย และอื่นๆ อยู่ในอุณหภูมิสีเดียวกัน อาจดูได้ว่า วิธีการแบบนี้ไม่ต่างไปจากการปรับแต่งภาพด้วยระบบดิจิตอล แต่วัตถุประสงค์ของการปรับแต่งนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในเบื้องต้น ภาพจิตรกรรมของนักรบทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากภาพถ่ายที่บอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม วิธีการที่เราดูงานจิตรกรรมของนักรบไม่ต่างไปจากวิธีการที่เราดูงานภาพถ่ายขนาดใหญ่ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมนักรบไม่ใช้ภาพถ่ายเป็นสื่อ? ทำไมถึงใช้สื่อจิตรกรรม? จริงอยู่ที่ว่า เพราะภาพถ่ายทำหน้าที่บอกความจริงและไม่โกหกอย่างเข้มงวด ถึงกระนั้นในทางทฤษฎี นัยยะหนึ่งที่น่าสนใจของภาพถ่ายคือ ภาพถ่ายเป็นการสร้างสรรค์จากความไม่มีอะไรเลย” [1] มันเป็นปฏิกิริยาระหว่างเเสงและเคมีบนแผ่นฟิลม์ วัตถุหรือความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้ากล้องถ่ายภาพก็ยังคงอยู่ตรงหน้า ไม่ได้เดินทางเข้ามาอยู่ในกล้องแต่อย่างไร แต่สิ่งที่เดินทางเข้ามา คือ แสง ซึ่งได้พา “ภาพ” เดินทางเข้ามาในกล้องแทน นี่คือความเป็นจริงทางฟิสิกซ์ของภาพถ่าย ถ้าเรารับเงื่อนไขนี้ ภาพถ่ายไม่ว่าจะเป็นแบบ analogue หรือ digital ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเริ่มไม่แสดงความเที่ยงแท้ในเชิงความเป็นจริง แต่เป็นความเที่ยงแท้ในแง่ปรากฏการณ์แสงธรรมชาติ เราอาจจะต้องมองหาเครื่องบ่งชี้ในงานของนักรบใหม่

ดิฉันขอเสนอเครื่องบ่งชี้ในเชิงการระบาย, ปาด, ตะกุยเนื้อสีให้มีความนูนขึ้นมา นักรบพยายามสื่อสารถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ผ่านความนูน (relief) ของสี ทำให้ภาพมีลักษณะเป็นจิตรกรรม 3 มิติ แบบนูนต่ำ ภาพถ่ายซึ่งเป็นต้นแบบไม่ได้นำเอาคุณสมบัติมาอย่างครบถ้วน สิ่งที่ตกหล่นระหว่างทาง ได้แก่ กลิ่น ความลึก อุณหภูมิ และเวลา สิ่งที่พอจะทำได้ในงานจิตรกรรม คือ ความลึก เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงเห็นว่า ความนูนของสีเป็นวิธีการสร้างความลึกที่ส่งผลทำให้การรับรู้และความคิดของเราเปลี่ยนไป เราเริ่มตระหนักถึงความสมจริงของเนื้อเรื่องที่อยู่ในภาพมากขึ้น เพราะความนูนได้ยืนยันถึงการอยู่ในมิติที่ 3 จิตรกรรมของนักรบได้ยื่นมือออกมาสัมผัสกับมิติที่เราอยู่เข้ามาอยู่ในพื้นที่เราเพื่อยืนยันการมีอยู่จริงของเรื่อง

ความนูนของสีนี้กระตุ้นการทำงานของตา มันทำให้เราใช้เวลามองรายละเอียดของงานมากขึ้น และ เราเริ่มเฝ้าดูการถูกรุกรานของพื้นที่ชนบทอย่างใจจดใจจ่อ เริ่มรู้สึกสะเทือนใจกับภาพของรถแทรกเตอร์ที่กำลังไถเอาหน้าดินออก มันเคยเป็นหน้าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปกคลุมด้วยพืชพันธุ์ความชุ่มชื้นอาหารของคนและสัตว์ น้าดินถูกถากครูดด้วยมือเหล็ก หน้าดินกำลังถูกพรากเอาความสมบูรณ์ไป คล้ายการถูกแล่เนื้อเถือหนัง ความเจริญแบบสังคมเมืองและต่อด้วยความเสื่อมแบบสังคมเมือง กำลังเดินทางเข้ามาฝังรากบนพื้นที่แห่งนี้

จิตรกรรมของนักรบจึงไม่ได้โกหก นักรบได้รวบรวมเอาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่างที่และต่างเวลา และดึงเอาใจความที่สำคัญที่สุดให้รวมมาอยู่ในภาพเดียวกัน เขาใช้ความนูนของสีเป็นวิธีการยืนยันความเป็นจริงของเหตุการณ์ ที่ไม่เพียงแต่แค่เล่าสถานการณ์ หากแต่ยังทำให้เรารู้สึกในสิ่งที่นักรบรู้สึกอีกด้วย

Text : ดร.เตยงาม คุปตะบุตร

[1] McLuhan, Marshall. 2003. Understanding Media: The extensions of man (London: Routledge Classics) p. 209

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น